ดร. แรนดีป กูเลเรีย ผู้อำนวยการประจำสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ออลล์อินเดีย (AIIMS) ในกรุงนิวเดลี เปิดเผยว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอินเดียอาจเกิดมาจากการหละหลวมในการปฎิบัติตามมาตรการป้องกัน และเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่แพร่ระบาดมากขึ้น
ดร.กูเลเรียกล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่ออินเดียว่า “ประชาชนมีพฤติกรรมหละหลวมในการป้องกันการแพร่ระบาด ขณะนี้ประชาชนจำนวนมากมองว่าการแพร่ระบาดได้สิ้นสุดลงแล้ว เพราะมีวัคซีนแล้ว พวกเขาจึงไม่สวมหน้ากากอนามัย ผมเห็นผู้คนออกมารวมตัวกันเป็นจำนวนมากโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย หลายกิจกรรมที่มีผู้คนแออัด จนทำให้เกิด super spreader”
“สาเหตุอีกประการหนึ่งคือความหย่อนยานในการตรวจหาเชื้อ การติดตามผู้ติดต่อใกล้ชิด และการแยกตัว เมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนก่อนหน้า ส่วนประเด็นที่สาม เชื้อไวรัสกำลังกลายพันธุ์ ซึ่งบางตัวนั้นสามารถแพร่เชื้อได้มากขึ้น”
ดร.กูเลเรียเตือนว่า เชื้อไวรัสโควิด-19 จะแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น หากขาดการปฎิบัติตามขั้นตอนการป้องกันพื้นฐาน เช่น การสวมหน้ากากอนามัย และการติดตามผู้ติดต่อใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโควิด-19 อย่างเข้มงวด
กระทรวงสาธารณสุขอินเดียเปิดเผยเมื่อวานี้ว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่เพิ่มอีก 43,846 ราย และถือเป็นสถิติเพิ่มขึ้นรายวันสูงที่สุดในรอบเกือบ 4 เดือน
ทั้งนี้ การแพร่ระบาดระลอกใหม่ในอินเดียส่งผลให้รัฐต่างๆ เช่น ปัญจาบ, มหาราษฏระ, มัธยประเทศ และรัฐทมิฬนาฑู เตรียมใช้มาตรการที่เข้มงวด รวมถึงการสั่งปิดโรงเรียน จำกัดการชุมนุมในที่สาธารณะ และการใช้มาตรการล็อกดาวน์ในเขตที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 มี.ค. 64)
Tags: COVID-19, กรุงนิวเดลี, หน้ากากอนามัย, อินเดีย, แรนดีป กูเลเรีย, โควิด-19