นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บมจ.สิงห์ เอสเตท (S) เปิดเผยว่า แผนกลยุทธ์ในปีนี้บริษัทจะยังคงมุ่งเน้นธุรกิจหลัก พร้อมไปกับการขยายธุรกิจใหม่ โดยวางงบลงทุน 3,813 ล้านบาท เพื่อรองรับเข้าซื้อนิคมอุตสาหกรรม Park Industry และเข้าถือหุ้นโรงไฟฟ้า 2 แห่ง เพื่อสร้างความหลากหลายและความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ โดย S วางเป้าหมายในแผนระยะยาว 3 ปีที่จะผลักดันรายได้ให้สูงขึ้นแตะ 20,000 ล้านบาท จากปี 63 ที่รายได้หดลงไปเหลือ 6,563 ล้านบาท จากผลกระทบสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
สำหรับธุรกิจหลักคือ อสังหาริมทรัพย์เพื่อขายนั้น ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอโอน (backlog) จากโครงการคอนโดมิเนียมอยู่ที่ 3,700 ล้านบาท และมีโครงการในสต็อกที่พร้อมขาย 3,813 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส มี Backlog ราว 1,520 ล้านบาท คาดว่าจะมีการโอนในไตรมาส 1/64 ราว 550 ล้านบาท ส่วนบ้านแนวราบจะมีการทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปลายไตรมาส 3/65
แผนการขยายธุรกิจใหม่ การลงทุนแห่งแรกคือการเข้าซื้อกิจการ 100% ใน นิคม Park Industry ปาร์ค อินดัสตรี ด้วยงบลงทุนมูลค่า 695 ล้านบาท และงบลงทุนในการพัฒนาอีก 1,726 ล้านบาท ซึ่งมีพื้นที่รวมทั้งหมด 1,790 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่โซนโรงงาน 1,392 ไร่ พื้นที่สำหรับการขายประมาณ 1,000 ไร่ และที่เหลือเป็นส่วนของอาคารพาณิชย์ ทั้งหมดคาดว่าจะพัฒนาแล้วเสร็จในปี 65
ส่วนโรงไฟฟ้าที่เป็นการดำเนินงานภายใต้บริษัท โรงไฟฟ้าอ่างทอง เพาเวอร์ (ATP) โดย S จะเข้าไปลงทุนในสัดส่วน 30% ด้วยงบลงทุน 557 ล้านบาท มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 120 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตไอน้ำ 60 ตันต่อชั่วโมง มีสัญญากับทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ระยะเวลา 25 ปี เริ่มดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ตั้งแต่ปี 59
รวมทั้งการพัฒนาโรงงานไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม ภายใต้บริษัท บี. กริมเพาเวอร์ (ราชบุรี) 1 จำกัด (BGPR 1) และบริษัท บี. กริมเพาเวอร์ (ราชบุรี) 2 จำกัด (BGPR 2) โดย S จะเข้าไปถือหุ้น 30% ด้วยงบลงทุน 15 ล้านบาท และมีงบลงทุนในการพัฒนาอีก 820 ล้านบาท ซึ่งทั้งสองโรงงานมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 280 เมกะวัตต์ และมีสัญญาขายไฟฟ้ากับ กฟผ.ระยะเวลา 25 ปี กำหนดเริ่ม COD ช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.66
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 มี.ค. 64)
Tags: S, ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์, สิงห์ เอสเตท, โรงไฟฟ้า