นักวิเคราะห์ฯเล็งตลาดหุ้นไทยเช้านี้ดีดตัวขึ้นตาม Sentiment บวกจากต่างประเทศหลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดนลงนามในกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจ เล็งกลุ่มพลังงาน-ภาคการผลิตที่ไม่ใช่หุ้นเทคโนโลยีช่วยประคองตลาดฯ อย่างไรก็ดี ตลาดฯมีโอกาสแผ่วได้จากแรงปัจจัยกดดันรออยู่ทั้งเรื่องฟุตซี่จะปรับลดน้ำหนักหุ้นไทย-Bond yield สหรัฐฯที่เร่งตัวขึ้น-รอผลประชุมเฟด-การเมืองในประเทศไม่แน่นอน ดังนั้นเมื่อดัชนีฯดีดตัวขึ้นก็ควรจะปรับพอร์ตลงทุนบ้าง พร้อมให้แนวรับ 1,550 จุด ส่วนแนวต้าน 1,580-1,585 จุด
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะดีดตัวขึ้นได้ตาม Sentiment บวกจากตลาดต่างประเทศ หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนามในกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้ คาดว่าจะได้รับแรงประคองจากหุ้นในกลุ่มพลังงาน, กลุ่มภาคการผลิตที่ไม่ใช่หุ้นเทคโนโลยี
อย่างไรก็ดี ตลาดบ้านเราก็มีโอกาสที่จะแผ่วได้ เนื่องจากมีปัจจัยกดดันรออยู่ทั้งเรื่องฟุตซี่จะปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยซึ่งจะมีผลในวันที่ 19 มี.ค.นี้ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) อายุ 10 ปีของสหรัฐฯที่เร่งตัวขึ้นมา 1.63% แล้ว ตอนนี้ต่างก็รอผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 16-17 มี.ค.จะส่งสัญญาณออกมาอย่างไรบ้าง และตลาดบ้านเราก็ยังมีความไม่แน่นอนในปัจจัยการเมืองในประเทศ ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 ดังนั้นเมื่อดัชนีฯดีดตัวขึ้นก็ควรจะปรับพอร์ตลงทุนบ้าง
พร้อมให้แนวรับ 1,550 จุด ส่วนแนวต้าน 1,580-1,585 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (12 มี.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 32,778.64 จุด เพิ่มขึ้น 293.05 จุด (+0.90%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,943.34 จุด เพิ่มขึ้น 4.00 จุด (+0.10%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,319.86 จุด ลดลง 78.81 จุด (-0.59%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 11.2 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 86.67 จุด และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 184.23 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (12 มี.ค.) 1,568.19 จุด ลดลง 6.94 จุด (-0.44%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 822.94 ล้านบาท เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 64
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน เม.ย. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (12 มี.ค.) ปิดที่ 65.61 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 41 เซนต์ หรือ 0.6%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (12 มี.ค.) อยู่ที่ 1.44 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 30.68/70 แนวโน้มแกว่งในกรอบ 30.65-30.75 จับตาประชุมเฟดกลางสัปดาห์นี้
- อย.ออกใบอนุญาตกัญชาแล้ว 1,385 รายการ ครอบครอง-นำเข้า-ปลูก-จำหน่าย-สกัด ไม่อนุญาตส่งออก ส่วน “กัญชง” 10 รายการ ย้ำกัญชา-กัญชงยังเป็นยาเสพติดปลดล็อกบางส่วนใช้ประโยชน์ ทำผลิตภัณฑ์สุขภาพ เครื่องสำอาง อาหาร ด้าน กรรมการทยอยเคาะอนุญาตใช้เพิ่มภายใน เม.ย.”อนุทิน” เผยภาคเอกชนเข้าร่วม 29 บริษัท ความต้องการวัตถุดิบกว่า 30 ตัน ลั่นต้องยั่งยืนไม่เป็นแค่พืชกระแสหวือหวา
- นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมอยู่ระหว่างการผลักดันร้านค้าปลีกค้าส่งที่อยู่ในการส่งเสริมและได้รับการพัฒนาจากกรม ที่ปัจจุบันมีร้านต้นแบบ 213 ราย เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้ได้มากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้สามารถผลักดันเข้าไปจดทะเบียนและมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ แล้ว 2 ราย คือ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน )ที่เชียงราย และบริษัท เคแอนด์เค ซุปเปอร์สโตร์ เซาท์เทิร์น จำกัด (มหาชน) ที่หาดใหญ่ เพราะถือเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจค้าปลีกค้าส่งของไทย
- นายยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (อีไอซี) เปิดเผยว่า ประเมินแนวโน้มค่าเงินบาทสิ้นปี 64 อาจอ่อนค่าลงจากสิ้นปี 63 คาดอยู่ในช่วง 30-31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นผลจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มเร็วกว่าประเทศอื่นตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาวที่ปรับเพิ่มขึ้นเร็ว
- ตลท.ชี้ปี 2563 บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยรายงานผลการดำเนินงาน โดยมีกำไรลดลง 53% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากผลการแพร่ระบาดของโควิด-19 และราคาน้ำมันที่ลดลงแรง อย่างไรก็ดี บจ. ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องหลังผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา จากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมสถานการณ์โควิด-19
หุ้นเด่นวันนี้
- IVL (กรุงศรี) “ซื้อ”ปรับเป้าขึ้นเป็น 60 บาท สะท้อน Spread ปิโตรฯ และคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ที่เพิ่มขึ้นเบื้องต้น โดยปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรสุทธิของ IVL ในปีนี้ขึ้น 55% เป็น 1.5 หมื่นล้านบาท โดยจะเห็นการฟื้นตัวของกำไรเด่นตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีนี้
- SCC (เอเซีย พลัส) เป้า 450 บาท แผนการเติบโตที่ชัดเจนของทุกธุรกิจหลักในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะกำลังการผลิตของธุรกิจปิโตรเคมีที่จะเพิ่มขึ้นถึง 70% หลังโครงการ LSP ในเวียดนามเสร็จสิ้น รวมถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของธุรกิจ Packaging ภายใต้ SCGP จะช่วยยกฐาน EBITDA ของ SCC ให้สูงขึ้นจากค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2553-2563 ที่ทำได้ 71,030 ล้านบาท มาสู่ระดับ 1 แสนล้านบาทในปี 2566 เป็นต้นไป คาดปีนี้กำไรสุทธิอยู่ที่ 3.66 หมื่นล้านบาท (+7.4%YoY) อีกทั้งราคาหุ้นยัง Laggard หุ้นกลุ่มปิโตรฯอย่าง PTTGC และหุ้นลูกอย่าง SCGP อยู่มาก
- BCH (คิงส์ฟอร์ด)”ซื้อสะสม”เป้า 19.50 บาท ช่วง Q1/64 คาดว่าแนวโน้มการดำเนินงานจะยังมีปัจจัยเติบโตจาก การตรวจเชื้อโควิด-19 ที่มีการเร่งตัวของจำนวนเคสตรวจในเดือนม.ค.ขึ้นมาที่ราว 4,000 เคส/วัน (เคสที่สปสช.จ่ายให้ตกเคสละ 2,300 บาท อนุมานเคสที่สปสช.จ่ายอยู่ที่ 80% ของการตรวจ จะสร้างรายได้ให้กับ BCH วันละ 10.56 ลบ.) ล่าสุด คาดว่าคลัสเตอร์ติดเชื้อที่ตลาดบางแคจะส่งผลบวกต่อร.พ.เกษมราษฎร์ บางแค นอกจากนี้ช่วง H2/64 มีโอกาสสูงที่รายได้ผู้ป่วยต่างชาติจะกลับมา และมีปัจจัยหนุนทางรายได้จากวัคซีนโควิด-19 (ทั้งจากที่รับมากระจายต่อจากทางรัฐฯ และที่มีแผนจะนำเข้าเอง) ปัจจุบันคาดกำไรสุทธิปี 63 และ ปี 64 อยู่ที่ 1,308 ลบ. (+6.36%YoY) และ 1,440ลบ.(+10.13%YoY) ตามลำดับ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 มี.ค. 64)
Tags: SET, SET Index, กรภัทร วรเชษฐ์, ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นไทย, หุ้นไทย, โนมูระ พัฒนสิน