นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐกล่าวให้สัมภาษณ์กับรายการ “This Week” ของสถานีโทรทัศน์ ABC ว่า ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่เกิดจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์นั้น จะอยู่ในระดับต่ำและสามารถควบคุมได้ เนื่องจากเม็ดเงินจากมาตรการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และผลที่เกิดขึ้นจะปรากฎให้เห็นในรูปของการจ้างงานที่มีการขยายตัวอย่างเต็มศักยภาพ
“ถ้าถามว่ามีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อไหม? ฉันคิดว่าความเสี่ยงจะมีน้อยมากและอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ และหากเกิดภาวะเงินเฟ้อจริง เราก็มีเครื่องมือที่ดีพอในการจัดการ และเราจับตาสถานการณ์เงินเฟ้ออยู่ตลอดเวลา”
นางเยลเลนกล่าวกับรายการ “This Week” เมื่อวานนี้
นางเยลเลนยังคงสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ซึ่งประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ลงนามเมื่อวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยเธอกล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวจะทำให้การจ้างงานของสหรัฐกลับสู่ระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ภายในปีหน้า
เมื่อผู้ดำเนินรายการถามถึงกรณีที่ปธน.ไบเดนได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเพิ่มการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน นางเยลเลนกล่าวว่า “เรายังไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องนี้ ซึ่งรวมถึงการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล”
นางเยลเลนยังกล่าวด้วยว่า สถานการณ์ในตลาดแรงงานของสหรัฐเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว โดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 379,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 210,000 ตำแหน่ง ส่วนตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงสู่ระดับ 712,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2563
“ฉันคาดหวังว่า หากเราเอาชนะโรคระบาดได้ เศรษฐกิจของเราจะกลับมาฟื้นตัวและมีการจ้างงานอย่างเต็มศักภาพได้อีกครั้งภายในปีหน้า ซึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ฉบับนี้ จะผลักดันให้เราไปสู่เป้าหมายดังกล่าวได้”
นางเยลเลนกล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 มี.ค. 64)
Tags: กระตุ้นเศรษฐกิจ, ภาษีเงินได้นิติบุคคล, เงินเฟ้อ, เจเน็ต เยลเลน, โครงสร้างพื้นฐาน, โจ ไบเดน