นายเพชร ไกรนุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมทุ่มลงทุนกว่า 8 พัน-1 หมื่นล้านบาท ในช่วงปี 64-68 เพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำในธุรกิจบัดเจ็ทโฮเทลในเอเชียแปซิฟิก ด้วยการขยายโรงแรมแบรนด์ ฮ็อปอิน (Hop INN) ในประเทศไทยและฟิลิปปินส์ และเอเชียแปซิฟิก ทั้งสร้างเองและซื้อกิจการ เพื่อกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจที่จะลดการพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ทางธุรกิจในสถานการณ์โควิด-19 ปัจจุบันที่ยังคงมีการปิดประเทศอยู่เป็นส่วนใหญ่ และต้องการจับตลาดนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกพักโรงแรมที่มีราคาไม่แพงท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีปัญหา
ในแผนงาน 5 ปีนี้ บริษัทจะขยายโรงแรม Hop INN เพื่อรองรับความต้องการของของลูกค้าที่กระจายตัวไปมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีโรงแรม Hop INN ในไทย 100 แห่ง และฟิลิปปินส์ 15 แห่ง จากปัจจุบันในไทยมี 47 แห่ง และฟิลิปปินส์มี 5 แห่ง โดยขณะนี้มีโรงแรมใหม่ที่อยู่ในแผนแล้ว 12 แห่ง รวม 1,575 ห้อง ซึ่งใช้งบลงทุนราว 1.5 พันล้านบาท และอีก 2 พันล้านบาทจะใช้เพื่อปรับปรุงบำรุงรักษาโรงแรมที่มีอยู่ ส่วนอีก 4-6 พันล้านบาทจะใช้เพื่อแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่
“การเลือกขยายธุรกิจบัดเจ็ทโฮเทล Hop INN เนื่องจากเป็นแบรนด์ของที่บริษัทสร้างขึ้นเอง ใช้งบลงทุนค่อนข้างต่ำ และมีคู่แข่งในตลาดน้อย รวมถึงจากสถานการณ์ปัจจุบันมีความเสี่ยงต่ำ…การเพิ่มวงเงินลงทุนทำให้บริษัทได้เห็นโอกาสในการซื้อโรงแรมอื่น ๆ รวมถึงแผนในอนาคตบริษัทมีแนวคิดที่จะขยายธุรกิจไปยังเอเชียแปซิฟิกด้วย”นายเพชร กล่าว
นายเพชร กล่าวว่า สถานการณ์ในปี 64 นี้ เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่จากมาตราการการจำกัดการเดินทางเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ธุรกิจโรงแรมทุกแห่งล้วนประสบปัญหา ซึ่ง ERW มองว่าครึ่งปีแรกตลาดหลักยังจะเป็นนักท่องเที่ยวในประเทศ ส่วนครึ่งปีหลังคงต้องรอผลสำเร็จของวัคซีนโควิด และการเปิดประเทศเพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา โดยคาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวจะกลับมาอยู่ในระดับปกติภายในปี 66-67
สำหรับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 รอบใหม่ต่อผลการดำเนินงานของบริษัทเริ่มเห็นตั้งแต่กลางเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา และเริ่มเห็นผลชัดมากขึ้นในเดือน ม.ค.64 ที่มีการจำกัดการเดินทาง ส่งผลให้อัตราการเข้าพัก (OCC) โรงแรมทุกแห่งในเครือ ERW ปรับตัวลดลง เช่น กลุ่มฮ็อปอิน OCC ลดลงเหลือ 30-40% ในเดือน ม.ค.64 จากปกติอยู่ที่ 65% แต่ในช่วงปลายเดือนภาครัฐผ่อนคลายมาตราการเดินทางส่งผลให้ OCC ปรับตัวดีขึ้นไปที่ 50% ด้านบริการอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ปรับตัวลดลงเหลือ 50% ในเดือน ม.ค.แต่ในเดือน ก.พ.ดีขึ้นมาที่ 30%
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ก.พ. 64)
Tags: overweight, ดิ เอราวัณ กรุ๊ป, เพชร ไกรนุกูล, โรงแรม