นายไพบูลย์ นลิทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า แนวคิดในการจัดตั้งกระดานซื้อขายหุ้นในกลุ่มธุรกิจที่เป็นเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ มองว่ายังเร็วเกินไป และยังมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกับนักลงทุนรายย่อย เพราะธุรกิจที่เป็นสตาร์ทอัพ และเอสเอ็มอีในปัจจุบันยังหาข้อมูลเพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจลงทุนได้ยาก หรือแทบจะไม่มีข้อมูลมาให้ผู้ลงทุนศึกษาเลย
แม้ว่าตามวิสัยทัศน์ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะต้องการผลักดันให้ธุรกิจเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในตลาดทุนมากขึ้น และต้องการเพิ่มผู้ลงทุนในตลาดทุนให้มากขึ้นก็ตาม แต่มองว่าแนวทางดังกล่าวไม่สามารถช่วยให้ตลาดทุนไทยเติบโตอย่างยั่งยืน เพราะการที่จะนำธุรกิจเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ควรมีข้อมูลมากพอ และควรจะต้องเป็นธุรกิจที่ระดมทุนไปแล้วสามารถต่อยอดการเติบโตของธุรกิจและมีการสร้างผลงานให้กับธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เข้ามาระดมทุนไปแล้วหายไป
อีกทั้งมองว่าจะช่วยดึงดูดนักลงทุนรายย่อยเข้ามามากนั้น ข้อเท็จจริงอาจจะไม่ได้ช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับตลาดทุนไทย เพราะส่วนใหญ่นักลงทุนรายย่อยมีลักษณะการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นมากกว่าลงทุนระยะยาวเหมือนกับนักลงทุนสถาบัน และหากเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงมาก มองว่าควรให้นักลงทุนสถาบันที่มีความรู้และความเข้าใจมากกว่าเข้ามาในลงทุนก่อน แม้ว่าในมุมมองของนักลงทุนสถาบันหลายแห่งในปัจจุบันยังไม่ค่อยกล้าเสี่ยงที่จะเข้าลงทุนในธุรกิจกลุ่มเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพมากนัก เพราะธุรกิจประเภทนี้มีความเปราะบางด้านการเงิน โดยเฉพาะการบริหารจัดการหนี้สิน และยังไม่มีข้อมูลที่นำมาประกอบในการศึกษาการลงทุนที่เพียงพอ
อย่างไรก็ตาม หากก.ล.ต.มองว่าต้องการเพิ่มทางเลือกในการลงทุนมากขึ้น ยังมีทางเลือกอื่นๆ ที่มีตัวอย่างในต่างประเทศที่อีกมาก โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดรองที่มีทางเลือกอยู่ค่อนข้างหลากหลาย และการเชื่อมโยงตลาดในรูปแบบ Asean Link เชื่อมโยงกับตลาดหุ้นอื่นๆในต่างประเทศ และสามารถนำหุ้นในต่างประเทศเพิ่มเข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นไทยได้ ซึ่งจะทำให้การลงทุนในตลาดทุนไทยมีความน่าสนใจมากขึ้น สามารถสร้างการลงทุนระยะยาว ทำให้เกิดความยั่งยืนได้
ขณะที่การสนับสนุนด้านการออมระยะยาวในตลาดทุน ซึ่งเป็นสิ่งที่ FETCO ผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง อยากให้ก.ล.ต.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มการสนุบสนุนและแรงจูงใจในให้คนไทยหันมากระจายการออมในตลาดทุนเพิ่มขึ้นมากกว่าปัจจุบันที่มีเพียงการสนับสนุนด้วยการลดหย่อนภาษีให้กับกองทุน SSF เพื่อช่วยให้ตลาดทุนไทยเติบโตอย่างยั่งยืน และเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนระยะยาวที่ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 10-20% โดยผู้ออมส่วนใหญ่ยังเลือกออมในบัญชีเงินฝากของธนาคารสูงถึง 65 ล้านราย ในขณะที่มีผู้ออมเงินในตลาดทุนอยู่เพียง 3 ล้านราย โดยทาง FETCO ต้องการเพิ่มจำนวนคนที่ออมเงินในตลาดทุนเพิ่มเป็น 10-15 ล้านราย
ส่วนประเด็น ESG แนะนำให้ภาคธุรกิจเล็งเห็นถึงการใช้ ESG เข้าไปในการนำเสนอขายสินค้าและบริการมากขึ้น เพื่อส่งต่อไปถึงกับลูกค้าที่จะได้รับสินค้าและบริการที่มีคุณภาพจากความตั้งใจของธุรกิจที่นำ ESG จากองค์กร ส่งต่อมาถึงสินค้าและบริการที่มาถึงมือลูกค้า ทำให้การทำ ESG มีความยั่งยืน และธุรกิจมีความตระหนักและนึกถึงลูกค้ามากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์มากกว่าการมองเฉพาะภาพรวมของ ESG ที่เป็นประโยชน์ต่อตัวองค์กรเพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ นายไพบูลย์ ยังเสนอให้ ก.ล.ต.ลดความเลื่อมล้ำในการกำกับดูแลตัวกลางในการซื้อขายหลักทรัพย์และสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อทำให้เกิดความเท่าเทียมกันทั้ง 2 ภาคส่วน และเป็นประโยชน์กับนักลงทุนในการที่มีกฎเกณฑ์ที่ดีและเท่าเทียมเข้ามาดูแล ซึ่งในปัจจุบันมองว่าการควบคุมตัวกลางในการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลยังค่อนข้างละหลวม
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ก.พ. 64)
Tags: FETCO, ตลาดทุนไทย, ตลาดหุ้นไทย, ไพบูลย์ นลิทรางกูร