นายเสวก ศรีสุชาต ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง (PLE) เปิดเผยกับ”อินโฟเควสท์”ว่า บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานปี 64 นี้จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ หลังจากปี 63 ยอมรับว่าน่าจะมีผลขาดทุนสุทธิ หลังจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 63 ขาดทุนสุทธิ 220.54 ล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 กระทบกับการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญ เพราะทำให้การส่งมอบงานล่าช้าออกไป แต่ในปีนี้บริษัทจะเร่งส่งมอบงานให้มากขึ้น เพื่อผลักดันรายได้ให้เติบโตราว 10% จากปีก่อนคาดว่ารายได้จะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปี 62
ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ (Backlog) ราว 20,000 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ประมาณ 8,000-9,000 ล้านบาท ขณะที่บริษัทเตรียมเข้าประมูลงานใหม่เพิ่ม โดยเฉพาะงานโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ เช่น งานก่อสร้างศูนย์ซ่อมรถไฟฟ้า, งานก่อสร้างรถไฟทางคู่ เป็นต้น คาดหวังจะได้รับงานดังกล่าวราว 8,000-9,000 ล้านบาท
ส่วนงานภาคเอกชนมีงานขนาดใหญ่ที่จะเข้าประมูล ได้แก่ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN), One Bangkok และบมจ.ดุสิตธานี (DTC) คาดหวังจะได้งานราว 1,000-2,000 ล้านบาท แต่มองว่างานภาคเอกชนในปีนี้น่าจะมีการเปิดประมูลค่อนข้างน้อย ทำให้เกิดการแข่งขันสูง ดังนั้นบริษัทจะมุ่งไปที่งานภาครัฐเป็นหลักก่อน
“ปีนี้ยังเป็นปีที่เหนื่อย เนื่องจากงานภาคเอกชนของเราขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการอสังหาริทรัพย์ แต่ก็ยังไม่ค่อยแผนที่จะขยาย และยังมีงานค้างท่ออยู่อีกมาก แต่เรามีการปรับแผนมามุ่งในงานราชการ พวกโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ คาดว่าจะช่วยผลักดันงานในมือให้เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังต้องเร่งส่งมอบงาน โดยเฉพาะงานที่ไม่เสร็จในปีก่อน เพื่อสร้างรายได้ให้เติบโตและกลับมามีกำไรสุทธิ”
นายเสวก กล่าว
สำหรับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะยังสามารถดำเนินงานได้ตามปกติในขณะนี้ แต่ก็ยอมรับว่ามีความกังวลหากโควิด-19 ระบาดเพิ่มอีกจนต้องมีการล็อกดาวน์ เพราะอาจกระทบกับการดำเนินงาน และผลประกอบการได้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ก.พ. 64)
Tags: CPN, DTC, PLE, ดุสิตธานี, ผลการดำเนินงาน, รถไฟทางคู่, รถไฟฟ้า, เซ็นทรัลพัฒนา, เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง, เสวก ศรีสุชาต, โครงสร้างพื้นฐาน