นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บ้านปู (BANPU) เปิดเผยว่า บริษัทวางกลยุทธ์ในช่วง 5 ปีนี้ (64-68) เน้นการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียน โดยจะเพิ่มงบลงทุนมากขึ้นกว่าแผนงาน 5 ปีก่อน (58-63) ที่ใช้งบลงทุนไปถึง 80% ในธุรกิจพลังงานทดแทนและก๊าซ จากงบลงทุนรวมที่ตั้งไว้ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อให้ไปสู่เป้าหมายการมีสัดส่วน EBITDA 50% มาจากพอร์ตธุรกิจพลังงานสะอาด (Greener Portfolio) จากสิ้นปี 63 อยู่ที่ราว 20%
“เชื่อว่าเป้าหมายปี 2021-2025 บ้านปูจะมี EBITDA จาก Geener Portfolio มากกว่า 50% เราวางไว้ว่าน่าจะสามารถทำได้ ตอบกระแสของโลกได้”
นางสมฤดี กล่าว
ทั้งนี้ กลุ่ม BANPU ตั้งเป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้าภายในปี 68 จะเพิ่มเป็น 6,100 เมกะวัตต์ (MW) จากสิ้นปี 63 อยู่ที่ 3,100 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 1,600 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม 4,500 เมกะวัตต์ โดยบริษัทมีแผนจะลงทุนโซลาร์ฟาร์มเพิ่มขึ้นในญี่ปุ่น, โครงการโซลาร์ฟาร์มและพลังงานลมในเวียดนาม ส่วนในจีนจะขยายลงทุนโซลาร์ฟาร์มเพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่ 177 เมกะวัตต์
ขณะที่ปัจจุบัน บ้านปูเน็กซ์ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตามสัดส่วนการลงทุนทั้งหมด 694 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 22.4% ของกำลังการผลิตทั้งหมด 3,100 เมกะวัตต์ โดยยังคงดำเนินธุรกิจการโซลาร์รูฟท็อปในโรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม โรงเรียน โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า รวมถึงโซลาร์ลอยน้ำที่ลงทุนไป 16 เมกะวัตต์ใน จ.ระยอง
ส่วนธุรกิจก๊าซในสหรัฐ มีกำลังผลิต 800 ล้าน ลบ.ฟ./วัน จากแหล่งก๊าซธรรมชาติมาเซลลัส (Marcellus) ในมลรัฐเพนซิลเวเนีย กำลังผลิตรวมประมาณ 200 ล้าน ลบ.ฟ./วัน และแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ (Barnett) ในรัฐเท็กซัส กำลังผลิตรวมประมาณ 600 ล้าน ลบ.ฟ./วัน ซึ่งในปีนี้จะรับรู้รายได้เข้ามาเต็มปี คาดว่าปีนี้จะมีปริมาณการผลิตก๊าซ 600-700 ล้าน ลบ.ฟ./วัน ประกอบกับราคาก๊าซขณะนี้ปรับเพิ่มขึ้นมาที่ 2.8 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู จาก 1.6 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียูในไตรมาส 4/63
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทยังไม่มีแผนลงทุนแหล่งก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติม แต่จะต่อยอดไปธุรกิจกลางน้ำและปลายน้ำในสหรัฐ เนื่องจากนโยบายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐสนับสนุนการใช้โรงไฟฟ้าก๊าซ หรือส่งเสริมในขั้นปลายน้ำมากกว่า และแนวโน้มการใช้ไฟฟ้าจากก๊าซในสหรัฐสูงขึ้นมาเป็น 35% จากปัจจุบันที่ 27% โดยเน้นไปใช้ในภาคครัวเรือนและภาคขนส่ง ทั้งนี้สหรัฐเป็นผู้ใช้พลังงานก๊าซมากที่สุด ขณะที่ในภูมิภาคเอเชียจะใช้ถ่านหินมากกว่า
ด้านธุรกิจถ่านหินก็ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีการลงทุนเหมืองเพิ่มเติม เพราะปริมาณสำรองที่มีอยู่เพียงพอจะผลิตไปอีกอย่างน้อย 15 ปี โดยหากช่วงใดราคาถ่านหินเพิ่มขึ้นก็สามารถผลิตมากขึ้นได้ โดยแนวโน้มการใช้ถ่านหินก็ยังมีอยู่ในช่วง 30 ปีข้างหน้า จากขณะนี้การใช้ถ่านหินมาเป็นพลังงานอยู่ในสัดส่วนมากกว่า 25%ของการใช้พลังงานโลก แต่บริษัทจะผลิตถ่านหินที่ใช้เทคโนโลยีเป็นถ่านหินสะอาดที่มีค่ากำมะถันต่ำ โดยมีเหมืองอยู่ในอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย ลาว และจีน
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BANPU กล่าวว่า บริษัทกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ (Banpu Transformation) เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในฐานะผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ (International Versatile Energy Provider) ที่มุ่งนำเสนอโซลูชันด้านพลังงานที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าจากความเชี่ยวชาญด้านพลังงานครบวงจรใน 10 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
สำหรับกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญนี้ คือ การปรับพอร์ตธุรกิจให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ Greener & Smarter และได้เพิ่มกลยุทธ์ Faster มาเร่งความเร็วในการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในพอร์ตโฟลิโอ (Greener Portfolio) และการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานภายใต้ บ้านปู เน็กซ์
พร้อมกับการขับเคลื่อนองค์กรด้วยกระบวนการ Digital Transformation ด้วยหน่วยงานใหม่ “Digital Center of Excellence” (DCOE) ที่จัดตั้งในปี 61 เพื่อเป็นหน่วยงานเรือธงในการนำบ้านปูสู่การปรับเปลี่ยนวิธีทำงานให้ตอบรับโลกยุคใหม่ ตั้งแต่การวางยุทธศาสตร์ ไปจนถึงการทำงานในทุกขั้นตอน ที่สามารถนำเทคโนโลยีและแนวคิดแบบดิจิทัลเข้าไปเสริมประสิทธิภาพได้ รวมไปถึงนำนวัตกรรมต่าง ๆ ไปช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ให้กับลูกค้าทั้งแบบ B2B, B2C และ B2G ได้ดียิ่งขึ้น
รวมทั้งการร่วมมือกับหน่วยงานทรัพยากรมนุษย์ (HR) และเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ในการวางแผนและขยายผลกระบวนการในการพัฒนาทักษะให้พนักงาน ทั้งการสร้างทักษะใหม่ที่จำเป็น (Reskill) และการยกระดับทักษะเดิมให้ดีขึ้น (Upskill)
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ก.พ. 64)
Tags: BANPU, บ้านปู, ผลิตไฟฟ้า, พลังงานหมุนเวียน, สมฤดี ชัยมงคล, โซลาร์รูฟท็อป