พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เปิดเผยว่า ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) วันนี้ ได้เห็นชอบผ่อนคลายมาตรการหลายด้าน เช่น การเปิดโรงเรียน และสถานประกอบการและธุรกิจต่างๆ โดยจะมีมาตรการเฉพาะออกมา ซึ่งตนเองเน้นย้ำ ให้มีหน่วยงานเข้าไปตรวจสอบสถานที่ที่ได้รับการผ่อนคลายแล้ว และจะมีสายตรวจออกตรวจในพื้นที่เสี่ยงด้วย หากพบสถานที่ใดไม่ปฏิบัติตามก็จะสั่งปิดทันที พร้อมย้ำว่าห้ามปกปิดข้อมูล และเฝ้าระวังการไปสถานที่และกิจกรรมที่มีความเสี่ยง
ส่วนการเปิดโรงเรียน ได้กำชับกระทรวงศึกษาธิการให้ปรับการเรียนการสอนให้มีทั้งการเรียนปกติและออนไลน์ควบคู่กัน หากพื้นที่ใดมีความเสี่ยงสูง อาจปรับการเรียนแบบวันเว้นวัน หรือการเรียนออนไลน์แทน
ทั้งนี้ ศบค.ได้แบ่งระดับพื้นที่ของสถานการณ์โควิดเป็น 4 ระดับตามสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด มี 1 จังหวัด คือ สมุทรสาคร และกรุงเทพมหานคร ในพื้นที่เขตติดต่อสมุทรสาคร ที่เหลือแบ่งเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด, พื้นที่เฝ้าระวังสูง, พื้นที่เฝ้าระวัง โดยเชื่อว่าหากทุกคนเคารพมาตรการก็จะคลี่คลายได้โดยเร็ว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ศบค.ได้พิจารณามาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เนื่องจากการแพร่ระบาดรอบนี้ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องปรับมาตรการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้มาตรการทั้งสกัดกั้น ควบคุม ป้องกันการแพร่ระบาด รักษาพยาบาล และโรงพยาบาลสนาม ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถรับได้และควบคุมได้อยู่ในปัจจุบัน แม้สถานการณ์ผู้ติดเชื้อประจำวันจะมีจำนวนมาก แต่สาเหตุมาจากการค้นหาวงกว้างและตรวจเชิงรุกมากขึ้นเพื่อนำผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดต่อไป ซึ่ง ศบค.จะประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อออกมาตรการแบบเดือนต่อเดือน หรืออาจปรับเร็วกว่านั้น หากทุกภาคส่วนปฏิบัติตาม
ส่วนการเข้มงวดกวดขันการกระทำความผิดจากการลักลอบเล่นบ่อนการพนันสามารถจับกุมดำเนินคดีได้จำนวนมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึง ความคืบหน้าการจัดหาวัคซีนว่า รัฐบาลยังคงยืนยันจำนวนวัคซีนที่ได้สั่งจองไปแล้ว แต่ต้องขึ้นกับประเทศต้นทางที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ด้วยว่าจะส่งมอบมาได้เร็วหรือไม่ ซึ่งวันนี้มีการเจรจาอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะได้รับวัคซีนตามกำหนดเวลา จากนั้นจะวางแผนแจกจ่ายการฉีดต่อไป
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ทุกคนจะมีสิทธิเข้าถึงวัคซีน แต่ต้องทยอยตามลำดับของวัคซีนที่นำเข้ามา เพราะต้นทางมาจากต่างประเทศแล้วถึงจะผลิตในไทย ขณะที่การพัฒนาวัคซีนในประเทศ ได้สนับสนุนงบประมาณให้แก่สถาบันทางการแพทย์ทำการวิจัยหลายแห่ง และเตรียมสนับสนุนบริษัทอื่นๆในการผลิตวัคซีนด้วย ทั้งนี้สิ่งสำคัญแม้ว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว แต่ยังต้องเข้มงวดในการป้องกันตนเอง
อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนโดสแรกให้กับประชาชนจะสามารถทำได้ต่อเมื่อวัคซีนล็อตแรกมาตามกำหนด ส่วนกรณีสหภาพยุโรป(อียู) ออกโรงเตือนเรื่องการจำกัดการส่งออกวัคซีนออกนอกพื้นที่ ก็พร้อมรับฟังไว้เป็นข้อมูล เพื่อการพิจารณาโดยถี่ถ้วน เพราะรัฐบาลทำเต็มที่แล้ว ทั้งการเจรจาตกลงจัดซื้อ ซึ่งหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้
ส่วนกรณีที่จังหวัดชลบุรี ประกาศปิดกิจการโรงแรม/สถานที่ท่องเที่ยวนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การปิดกิจการมี 2 ลักษณะ คือ รัฐสั่งปิดหรือโรงแรมปิดเอง ซึ่งสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแลแล้ว เพื่อจะได้เข้าสู่กติกาการใช้กองทุนประกันสังคม และส่วนที่เหลือหากจำเป็นกระทรวงการคลังจะเตรียมงบประมาณไว้ให้ เบื้องต้นทราบว่ากระทรวงแรงงานได้แก้ปัญหาระดับหนึ่งแล้ว เช่น การเยียวยาผู้ประกันตนตามมาตรา 33
นายกรัฐมนตรี ระบุด้วยว่า กรณีตรวจสอบไทม์ไลน์ผู้ติดเชื้อแล้วพบว่ามีการรวมกลุ่มทำกิจกรรม และกลายเป็นกลุ่มที่แพร่เชื้อโควิด-19 นั้น ให้ว่าไปตามกฏหมาย โดยไม่ควรทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด และหากพบว่าเป็นการฝ่าฝืนกฏหมาย ก็ต้องดูว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ย้ำตนเองไม่อยากให้เกิดความขัดแย้ง
“งานนี้ไม่มีพระเอก มีพระเอกเมื่อไหร่ มีผู้ร้ายเมื่อนั้น พระเอกก็คือ คนไทยทั้งประเทศที่ช่วยแก้ปัญหาโควิดระยะที่ 2”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ม.ค. 64)
Tags: COVID-19, กระทรวงศึกษาธิการ, ประยุทธ์ จันทร์โอชา, ศบค., เปิดเรียน, โควิด-19