นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสซีจี เซรามิกส์ (COTTO) เปิดเผยว่า บริษัทได้ขยายธุรกิจเข้าไปในด้านพลังงาน ภายใต้ แบรนด์ “SUSUNN” ซึ่งเป็นธุรกิจให้คำปรึกษาออกแบบ จัดจำหน่าย ติดตั้งระบบผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนซึ่งเป็นพลังงานสะอาดหลากหลายประเภท โดยเฉพาะระบบโซลาร์เซลล์ (EPC) เนื่องจากมองเห็นโอกาสการเติบโตค่อนข้างมาก
ในปีนี้บริษัทจะทำการเปิดตัวและนำสินค้าออกสู่ตลาด เน้นกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ เช่น ห้างสรรพสินค้า, โรงงานอุตสาหกรรมเป็นต้น คาดว่าจะสามารถดำเนินการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป และ Carport ในปีแรกได้ราว 30-50 เมกะวัตต์ (MW) และคาดหวังยอดขายที่ 5% ของยอดขายรวม ซึ่งเบื้องต้นมีลูกค้าในมือแล้ว
“วิสัยทัศน์ของ แบรนด์ SUSUNN คือ มุ่งหวังที่จะเป็นผู้ให้บริการ (Solution Provider) ด้านวิศวกรรม พลังงาน และนิคมอุตสาหกรรมในระดับอาเซียนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพและประสบการณ์ของทีมงานสามารถทำให้เป็นไปได้อย่างแน่นอน ตั้งแต่เริ่มดำเนินการมาในระยะ 2-3 ปีจนถึงขณะนี้ สินค้าและบริการของเราได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และมีลูกค้ารายใหม่เพิ่มเติมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามสถานการณ์ตลาดของโซลาร์เซลล์ที่ยังคงเติบโตได้ดีในปัจจุบัน และยังมีแนวโน้มที่ดีมากในอนาคต”
นายนำพล กล่าว
สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ที่เกิดขึ้นในต้นปีนี้ อาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานช่วงครึ่งแรกของปี 64 ให้มีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่ก็คาดหวังว่าหากมีการนำวัคซีนเข้ามาในไตรมาส 2-3 นี้ จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค และภาวะเศรษฐกิจให้กลับมาดีขึ้น ซึ่งหากเป็นไปตามคาดการณ์มองว่าสภาวะตลาดโดยรวมก็น่าจะอยู่ในระดับที่ทรงตัว หรือคิดเป็นมูลค่าที่ 30,000 ล้านบาท และส่งผลดีต่อบริษัท อย่างไรก็ตามบริษัทก็ยังคงมุ่งเน้นการปรับปรุงกระบวนการภายในองค์กร เช่น การควบคุมประสิทธิภาพการผลิต และค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
“ปีนี้เราคาดการณ์ว่าหากไม่มีโควิด-19 ระลอกใหม่ เราอาจจะเห็นการเติบโตในภาพรวม แต่พอมีโควิด-19 เข้ามาทำให้เรายังประเมินทิศทางรายได้ปีนี้ได้ยาก มองว่าเมื่อผ่านพ้นไตรมาส 1/64 ไปแล้ว น่าจะเห็นความชัดเจนขึ้น แต่คิดว่าดีที่สุดในปีนี้น่าจะทรงตัวจากปีก่อน หากเศรษฐกิจยังไม่ขยายตัว การแข่งขันก็ยังคงรุนแรงต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามเราก็มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ทั้งภายในของเรา และควบคุมค่าใช้จ่าย ทำให้เราไม่น่าจะมีปัญหาและน่าจะเดินหน้าต่อไปได้”
นายนำพล กล่าว
นายนำพล กล่าวว่า กลยุทธ์การดำเนินงานที่สำคัญในปีนี้ บริษัทยังคงพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค โดยจะเน้นการให้ความสำคัญกับสุขภาพและสุขอนามัยที่ดี (Well-Being) ความตื่นตัวเรื่องสุขอนามัยและความปลอดภัยตลอดจนการเตรียมพื้นที่สำหรับสมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้สูงอายุ รวมถึงเทรนด์เรื่องการปรับปรุงที่อยู่อาศัย (Renovation) โดยจะออกสินค้ากันลื่นสำหรับผู้สูงอายุ และพัฒนาดีไซน์สินค้ากลุ่มกระเบื้อง Hygienic Tile (ไฮจีนิก ไทล์) ที่ออกมาเพื่อตอบโจทย์ในเรื่องสุขภาพและความสะอาด โดยล่าสุดได้มีการพัฒนากระเบื้องลวดลายไม้ในแต่ละแผ่นกระเบื้องเป็นแบบRandom Design ที่ไม่ซ้ำและมีความแตกต่างกันในแต่ละแผ่นเสมือนลวดลายไม้ธรรมชาติจริง ๆ โดยยังคงคุณสมบัติในเรื่องความเป็น ไฮจีนิก ไทล์
นอกจากนี้จากการทำงานที่บ้านกันมากขึ้น ลูกค้าที่ต้องการจะปรับปรุงบ้าน ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ออกสินค้าเพื่อตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว และจะยังคงผลักดันสินค้าใหม่ต่อเนื่องในปีนี้ คือ แผ่นปูพื้น LT แบบ Smart Flexible by COTTO ซึ่งเป็นวัสดุปูพื้นที่มีดีไซน์สวยงาม ติดตั้งง่าย รวดเร็ว และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งที่จะเป็น Product expert ซึ่งมีความครบครันตั้งแต่สินค้าจนถึงบริการ มีสินค้าที่ตอบโจทย์ทุกพื้นที่ รวมทั้งมีอุปกรณ์เสริมครบทุกรายการเพื่อให้จบงานได้ จนถึงมีทีมบริการติดตั้งที่ได้มาตรฐาน ลูกค้าสามารถซื้อได้ครบจบในที่เดียว
อย่างไรก็ตามในเรื่องของช่องทางการจำหน่าย บริษัทยังคงมุ่งเน้นเรื่องช่องทางการขายที่หลากหลายทั้งในแบบออฟไลน์และออนไลน์ควบคู่กันไป เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคทุกระดับ โดยปัจจุบันได้ดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายให้มีความหลากหลายมากขึ้นทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าของบริษัทได้จากหลากหลายช่องทาง และมุ่งเน้นสินค้านวัตกรรม (High Value Added) ทั้งในด้านฟังก์ชันการใช้งานควบคู่ไปกับความสวยงามอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสอดรับกับเทรนด์ที่กำลังมาแรง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ม.ค. 64)
Tags: COTTO, นำพล มลิชัย, พลังงาน, พลังงานแสงอาทิตย์, หุ้นไทย, เอสซีจี เซรามิกส์, โซลาร์รูฟท็อป, ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์