หุ้นไทยแนวโน้มเช้าแกว่งไซด์เวย์ จาก Valuation ตึงตัว-ขาย IPO หุ้นใหญ่กดดัน

นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่ง Sideway ถึง Sideway Down เผชิญแรงกดดันจาก Valuation ตึงตัว-ขาย IPO หุ้นใหญ่ส่งสถาบันและต่างชาติปรับพอร์ตลงทุน ด้านตลาดภูมิภาคเช้านี้แกว่งบวกส่วนใหญ่ พร้อมให้ติดตามการประชุมศบค.ชุดใหญ่จะผ่อนคลายการคุมเข้มหรือไม่อย่างไร และติดตามการทยอยประกาศงบฯกลุ่ม Real Sector ส่วนนอกประเทศติดตามการประชุมเฟดในสัปดาห์นี้ พร้อมให้แนวรับ 1,485-1,490 แนวต้าน 1,505-1,510 จุด

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway ถึง Sideway Down จากแรงกดดัน Valuation ที่ตึงตัว และการขาย IPO ของหุ้นขนาดใหญ่ทำให้นักลงทุนสถาบัน และต่างชาติปรับพอร์ตลงทุน ขณะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวในแดนบวกเป็นส่วนใหญ่

อย่างไรก็ดี ให้ติดตามการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ชุดใหญ่ว่าจะมีการผ่อนคลายการคุมเข้มการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อย่างไรหรือไม่ และติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม Real Sector ซึ่งบริษัทที่น่าจะออกมาเร็วจะเป็น SCC, DTAC เป็นต้น ส่วนนอกประเทศในสัปดาห์นี้ให้ติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

พร้อมให้แนวรับ 1,485-1,490 จุด ส่วนแนวต้าน 1,505-1,510 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (22 ม.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,996.98 จุด ลดลง 179.03 จุด (-0.57%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,841.47 จุด ลดลง 11.60 จุด (-0.30%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,543.06 จุด เพิ่มขึ้น 12.15 จุด (+0.09%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 67.44 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 229.45 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 1.39 จุด
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (22 ม.ค.) 1,497.88 จุด ลดลง 15.63 จุด (-1.03%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,134.16 ล้านบาท เมื่อวันที่ 22 ม.ค.64
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มี.ค. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (22 ม.ค.) ปิดที่ 52.27 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 86 เซนต์ หรือ 1.6%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (22 ม.ค.) อยู่ที่ 0.75 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 29.98/30.00 แนวโน้มแกว่งกรอบแคบ ตลาดรอติดตามประชุมเฟดสัปดาห์นี้
  • เปิดข้อเสนอ 2 ค่ายมือถือ “เอไอเอส-ทรู” เปิดศึกชิง “คลื่น 700” กสทฯ ต่อยอด 5จี อุ้ม “เอ็นที” เดินหน้าธุรกิจหลังเหลืองบแค่ 2 หมื่นล้าน “เอไอเอส” เสนอดีกว่าให้ใช้โครงข่าย 1.3 หมื่นสถานีแถมให้ 5จี เต็ม 100% “ทรู” ให้แค่ 1.2 หมื่นสถานี “เอ็นที” ถกเครียดคาดดึงทั้ง 2 ค่ายเป็นพันธมิตร ใช้งบทุ่มประมูล 5จี ไปกว่า 3.5 หมื่นล้าน เหลือเงินไม่พอพัฒนาโครงข่าย
  • ทย.ทุ่มงบ 110 ล้านบาทเดินหน้าพัฒนาสนามบินร้อยเอ็ด ทุ่ม 110 ล้าน ปรับปรุงเทอร์มินอล รับผู้โดยสาร 1.2 ล้านคนต่อปี คาดเปิดประมูล ก.พ.64 พร้อมเปิดให้บริการ พ.ค.65
  • รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขยะชุมชนเพิ่มเติมอีก 400 เมกะวัตต์ ตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ.2561-2580 ซึ่งกำหนดเป้าหมายรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 400 เมกะวัตต์ และไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมอีก 44 เมกะวัตต์ ว่ามีผู้ประกอบการเอกชนสนใจลงทุนโรงไฟฟ้าขยะประมาณ 20 ราย ซึ่งผ่านการพิจารณาจากกระทรวงมหาดไทย และได้แจ้งเรื่องมายังสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. แล้ว แต่ กกพ.ยังไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้ เนื่องจากตามขั้นตอนต้องรอให้กระทรวงพลังงานกำหนดแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขยะชุมชนว่าจะเปิดรับซื้อทั้งหมด 400 เมกะวัตต์ ภายในครั้งเดียวหรือทยอยเปิดรับซื้อ เพื่อให้ กกพ.ที่มีอำนาจตาม พ.ร.บ. การประกอบกิจการพลังงาน ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าตามนโยบาย

หุ้นเด่นวันนี้

  • W-W5 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ ของบมจ.วาว แฟคเตอร์ (W)) มีจำนวน 4,883,479,841 หน่วย ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาท/หน่วย อายุ 3 ปี 9 เดือน 24 วัน มีอัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ ต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ ที่ราคาใช้สิทธิหุ้นละ 0.14 บาท กำหนดการใช้สิทธิครั้งแรก วันที่ 28 ต.ค.65 และใช้สิทธิครั้งสุดท้ายวันที่ 31 ต.ค.67
  • CHG (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ”เป้า 3.50 บาท คาดกำไร Q4/63 -15% Q-Q แต่ +79% Y-Y โตแรงที่สุดในกลุ่มจากรายได้ประกันสังคมที่แข็งแกร่ง โรงพยาบาลใหม่ขาดทุนลดลง และรายได้จาก ASQ หนุนทั้งปี 2563 +20% Y-Y พร้อมคาดปี 2564 โตอีก +15 Y-Y จากลูกค้าเงินสดที่คาดฟื้นตัว โรงพยาบาลใหม่ RPC และ 304 คาดพลิกมีกำไร หนุน Margin เติบโต ราคาหุ้นยัง Laggard และเป็น Top Pick ของกลุ่มฯ
  • ICHI (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า 16.4 บาท คาดกำไรสุทธิ Q4/63 ที่ 114 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 36%yoy จากการรับรู้รายได้การขายสินค้าในกลุ่มวิตามินเข้ามาเต็มไตรมาสระยะกลางยาวคาดกำไร เติบโตเฉลี่ย (CAGR) 23% ต่อปี ในช่วง 3 ปีข้างหน้าจาก Utilization rate เพิ่มขึ้นเดินหน้ารุกตลาดในกลุ่มวิตามิน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ม.ค. 64)

Tags: , , , , ,
Back to Top