ภายใต้นโยบายของโจ ไบเดน ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐ อาจนำมาซึ่งผลกระทบทั้งในแง่บวกและแง่ลบกับหลายประเทศที่มีความสัมพันธ์ทั้งด้านการค้า-การลงทุนต่างๆ กับสหรัฐ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์วิเคราะห์ผลกระทบที่จะมีต่อไทย โดยคาดว่าจะมีส่วนช่วยเพิ่มโอกาสการค้าการลงทุนในสหรัฐได้มากขึ้น ขณะเดียวกันแนะจับตานโยบายการเงิน-การคลัง ที่อาจส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทของไทย
นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กรมฯ ได้ติดตามนโยบายด้านการค้าของนายโจ ไบเดน ว่าจะมีผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของไทยอย่างไร ซึ่งพบว่าสหรัฐฯ มีนโยบายลดการพึ่งพาต่างชาติด้วยการสร้างความเข้มแข็งอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ เช่น เวชภัณฑ์ สินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง การย้ายฐานการผลิตคืนสู่สหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนนโยบาย Buy America และจะลดความตึงเครียดจากสงครามการค้า ด้วยการใช้วิถีทางของกฎหมายทางการค้า แต่ยังไม่เปิดเจรจาการค้าใดๆ รวมทั้งจะยกเลิกนโยบายโดดเดี่ยวหันมาสร้างพันธมิตร ให้ความสำคัญกับการต่อสู้โลกร้อน และผ่อนคลายเรื่องแรงงานต่างชาติ เป็นต้น
ส่วนในกรณีของจีน จะไม่ยกเลิกมาตรการต่างๆ ของประธานาธิบดีทรัมป์โดยทันที แต่อาจดำเนินการในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป และมีแนวโน้มต่อนโยบายในเรื่องการเข้มงวดกับการขายสินค้าเทคโนโลยี และเซมิคอนดักเตอร์ให้แก่จีน และการจำกัดการนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีชั้นสูงจากจีน
ส่วนสหภาพยุโรป (อียู) นายไบเดน ไม่มีนโยบายทำสงครามการค้า เน้นการฟื้นฟูมิตรภาพ แต่ยังต้องแก้ปัญหาความไม่สมดุลการค้าสินค้าเกษตร ในส่วนที่เกี่ยวกับเม็กซิโกและแคนาดา เห็นว่าสนธิสัญญา USMCA (United States-Mexico-Canada) เป็นข้อตกลงที่ดีกว่า NAFTA (North American Free Trade Agreement) ในด้านสิ่งแวดล้อม
ขณะที่เอเชีย สหรัฐฯ ยังไม่แสดงความเห็นการเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค (RCEP) และความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) แต่นโยบายจะให้ความสำคัญกับเอเชียมากขึ้น รวมถึงมีความตั้งใจที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์และร่วมมือกับองค์การการค้าโลก (WTO) มากขึ้น
นายสมเด็จ กล่าวว่า สำหรับผลกระทบต่อไทย พบว่านโยบายของนายไบเดน น่าจะส่งผลดีทำให้ความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ กับกลุ่มประเทศเอเชียดีขึ้น สร้างโอกาสเพิ่มความร่วมมือทางการค้า การลงทุนของธุรกิจสหรัฐฯ ในไทย และช่วยเพิ่มโอกาสให้ไทยเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าที่มีมาตรการทางการค้าสูง หรือไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง โดยใช้สหรัฐฯ เป็นฐานการผลิต และยังจะได้รับผลดีจากการที่สหรัฐฯ ไม่ยกเลิกภาษีนำเข้าจากจีนในทันที ทำให้ไทยยังสามารถใช้ประโยชน์ส่งออกที่ไปทดแทนสินค้าจากจีนได้
อย่างไรก็ตาม คงจะต้องระวังผลกระทบจากกรณีที่สหรัฐฯ จะพึ่งพาการผลิตในประเทศมากขึ้น ทำให้จะมีการใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (NTMs) เพิ่มขึ้น สินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน จะได้รับผลกระทบจากนโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อม และรถยนต์ไฟฟ้า และยังให้ความสำคัญเรื่องการผลิตที่จะต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งต้องระวังในเรื่องการย้ายฐานการผลิตมาไทยที่จะลดลง หลังจากสงครามการค้าชะลอตัว นอกจากนี้ ยังต้องจับตาดูนโยบายด้านการเงินการคลังของสหรัฐฯ ที่จะมีผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อค่าเงินบาทในอนาคตได้
นายสมเด็จ กล่าวว่า กรมฯ จะยังเดินหน้าขยายตลาดส่งออกในสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องต่อไป เพราะเป็นตลาดหลักที่สำคัญ โดยปี 2564 ได้ตั้งเป้าขยายตัวที่ 4% โดยสินค้าที่มีศักยภาพ คือ อาหารสำเร็จรูป, อาหารเสริม, สินค้าที่เกี่ยวกับการทำงานที่บ้าน เช่น เฟอร์นิเจอร์, ของแต่งบ้าน, วัสดุแต่งสวน, สินค้าสัตว์เลี้ยง, เครื่องใช้ไฟฟ้า, อิเล็กทรอนิกส์, อุปกรณ์ออกกำลังกาย, เกมส์และความบันเทิงภายในบ้าน และสินค้าป้องกันส่วนบุคคล เช่น ผลิตภัณฑ์ป้องกันตนเองส่วนบุคคล (PPE) เป็นต้น ที่จะมีความต้องการจนกว่าโควิด-19 จะคลี่คลาย
สำหรับกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกในตลาดสหรัฐฯ จะให้ความสำคัญกับการผลักดันสินค้าและบริการที่มีศักยภาพของไทย โดยสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป เช่น อาหารแปรรูป, สินค้าเกษตรอินทรีย์, ข้าว, ผลไม้ไทย, สมุนไพรไทย เป็นต้น โดยจะเน้นการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และโปรโมตผ่านโซเชียลมีเดีย ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์ และสตาร์ทอัพ จะได้เข้าร่วมกิจกรรมงานแสดงสินค้าในรูปแบบออนไลน์ และสำหรับเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน มีการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในสหรัฐฯ รวมถึงจัด Virtual Trade Show ในกลุ่มสินค้าอาหาร, อุปกรณ์เครื่องใช้ทางการแพทย์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, อิเล็กทรอนิกส์, อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเจรจาธุรกิจให้กับผู้ประกอบการไทย นอกจากนี้,จะได้เน้นการจัดเจรจาธุรกิจออนไลน์ในกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดสหรัฐฯ อีกด้วย
นายสมเด็จ กล่าวว่า ที่สำคัญจะได้เร่งพัฒนาและส่งเสริมการค้าปลีกสมัยใหม่ ผ่านช่องทางการค้าออนไลน์ระหว่างประเทศ ผ่านการจัดตั้งห้างสรรพสินค้าออนไลน์ TOPTHAI Store บนแพลตฟอร์ม Amazon.com, การประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์สินค้าไทย เจาะกลุ่มผู้บริโภค Millennials and Gen Z ผ่าน Social Influencers ต่าง ๆ เป็นต้น รวมทั้งโฆษณาประชาสัมพันธ์ตรา Thai Select ให้เป็นที่รู้จัก เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมร้านอาหารที่เป็นสมาชิก Thai Select ใน Social Media ต่างๆ, การประชุมหารือกับผู้นำเข้ารายสำคัญเพื่อติดตามสถานการณ์ และนำเสนอสินค้าไทยรายการใหม่ๆ รวมถึงประชาสัมพันธ์ชักชวนให้เข้าร่วมงานแสดงสินค้า กิจกรรมในไทยในปี 2564 และการประชาสัมพันธ์ข้อมูลการค้าการลงทุนในสหรัฐฯ ผ่านเว็บไซต์ ThaiTradeUSA.com
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ม.ค. 64)
Tags: กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ, กระทรวงพาณิชย์, การค้า, การลงทุน, การส่งออก, สมเด็จ สุสมบูรณ์, สหรัฐ, โจ ไบเดน