บิตคอยน์พุ่งทะลุระดับ 40,000 ดอลลาร์ หรือสูงกว่า 1,200,000 บาทในวันนี้ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด ณ เวลา 01.27 น.ตามเวลาไทย บิตคอยน์พุ่งขึ้น 2,334.37 ดอลลาร์ หรือ 6.29% สู่ระดับ 39,447.62 ดอลลาร์ ในการซื้อขายบนแพลตฟอร์มของ Coin Metrics หลังพุ่งแตะระดับ 40,188 ดอลลาร์ก่อนหน้านี้
บิตคอยน์เพิ่งทำสถิติทะลุแนว 35,000 ดอลลาร์เมื่อวานนี้ ขณะที่พุ่งขึ้นมากกว่า 30% จากต้นปีนี้ หลังจากที่ทะยานขึ้น 400% ในปีที่แล้ว
มูลค่าตลาดสกุลเงินคริปโตทะยานขึ้นเหนือระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกในช่วงเช้านี้ ขณะที่บิตคอยน์มีมูลค่าตลาดมากกว่า 7 แสนล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์จากบริษัทโซเชียล แคปิตัลคาดการณ์ว่า บิตคอยน์ยังคงสามารถพุ่งขึ้นต่อไป แม้ว่าช่วงนี้ได้ดีดตัวขึ้นมากแล้ว
“มันอาจไปถึง 100,000 ดอลลาร์ และ 150,000 ดอลลาร์ และ 200,000 ดอลลาร์ ซึ่งจะใช้เวลานานเท่าใด ผมก็ไม่รู้ อาจจะ 5-10 ปี แต่มันจะไปถึงแน่”
เขากล่าว
นายนิโคลัส ปานิเกอร์โซโกล นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนคาดการณ์ว่า ในระยะยาวบิตคอยน์มีแนวโน้มทะยานขึ้นแตะระดับ 146,000 ดอลลาร์ โดยปัจจัยที่ทำให้บิตคอยน์มีแนวโน้มแข็งแกร่งมาจากการที่นักลงทุนเริ่มกระจายการลงทุนด้วยการเข้าซื้อบิตคอยน์ นอกเหนือไปจากการซื้อทองคำในช่วงที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์กล่าวว่า การดีดตัวของบิตคอยน์ในครั้งนี้แตกต่างจากในปี 2560 เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากกระแสตอบรับที่คึกคักจากกลุ่มบริษัทฟินเทค และนักลงทุนรายใหญ่ในตลาด เช่น พอล ทิวดอร์ โจนส์ และสแตนลีย์ ดรักเคนมิลเลอร์ โดยแตกต่างจากในปี 2560 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรายย่อย
PayPal ยักษ์ใหญ่ฟินเทค ประกาศว่า ทางบริษัทจะเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆเพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถทำการซื้อขายบิตคอยน์ และสกุลเงินคริปโตอื่นๆ และในปีนี้ PayPal มีแผนที่จะให้ลูกค้าใช้สกุลเงินคริปโตในการซื้อสินค้าจากเครือข่ายร้านค้าปลีกจำนวน 26 ล้านแห่งของทางบริษัท
ทางด้าน Square ซึ่งเป็นบริษัทฟินเทคของสหรัฐ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ทางบริษัทได้เข้าซื้อบิตคอยน์มูลค่าถึง 50 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ Square ยังได้เปิดให้บริการสกุลเงินคริปโตสำหรับลูกค้าที่ใช้แอปพลิเคชั่น Cash ของทางบริษัท
บิตคอยน์ยังได้แรงหนุนจากการที่รัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกพากันออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งมาตรการดังกล่าวได้ทำให้สกุลเงินของหลายประเทศอ่อนค่าลง โดยเฉพาะดอลลาร์ ส่งผลให้นักลงทุนหันมาถือครองบิตคอยน์ในฐานะสินทรัพย์ทางเลือก
นอกจากนี้ ยังมีการมองว่าบิตคอยน์มีสถานะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เช่นเดียวกับทองคำ ซึ่งนักลงทุนจะแห่เข้าซื้อในช่วงเวลาที่เกิดความตื่นตระหนก
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังใช้บิตคอยน์เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อจากการที่รัฐบาลต่างๆมีแนวโน้มออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายริค ไรเดอร์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ของแบล็คร็อค ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในโลก กล่าวว่า ในอนาคต บิตคอยน์จะสามารถขึ้นมาทดแทนตำแหน่งของทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
“ผมคิดว่าสกุลเงินคริปโตจะยังคงอยู่ต่อไป ผมคิดว่ามันเป็นสินทรัพย์ที่คงทน โดยบิตคอยน์เป็นเครื่องมือที่คงทนซึ่งจะสามารถขึ้นมาแทนที่ทอง เพราะบิตคอยน์สามารถทำหน้าที่ได้มากกว่าทอง”
นายไรเดอร์กล่าว
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางรายออกมาเตือนว่าการทะยานขึ้นของบิตคอยน์จะสะดุดลงในปีนี้ หลังจากพุ่งขึ้นอย่างมากในปีที่แล้ว
นายแมทท์ มาลีย์ หัวหน้านักวิเคราะห์ของบริษัทมิลเลอร์ ทาบัค กล่าวว่า บิตคอยน์อาจดิ่งลง 25-30% ในช่วงต้นปีนี้
“บิตคอยน์จะดีดตัวต่อไปในระยะสั้น และผมก็มั่นใจในระยะยาว แต่ในระยะกลาง ผมมีความวิตกมากกว่าคนอื่น”
เขากล่าว
นายมาลีย์กล่าวว่า บิตคอยน์จะได้รับผลกระทบจากสภาพคล่องในตลาดที่ลดลง ขณะที่ปัจจัยทางเทคนิคบ่งชี้ว่า บิตคอยน์ได้เข้าสู่ภาวะที่มีแรงซื้อมากเกินไป และเริ่มมีภาวะฟองสบู่ ส่งผลให้บิตคอยน์จะเผชิญกับการปรับฐาน
นายมาลีย์กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2559 บิตคอยน์ได้พบกับการดิ่งลง 20% ถึง 10 ครั้ง, ร่วงลง 30% จำนวน 7 ครั้ง และ 48% จำนวน 4 ครั้ง ซึ่งนักลงทุนไม่ควรประเมินต่ำเกินไปเกี่ยวกับการปรับตัวที่ผันผวนของบิตคอยน์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ม.ค. 64)
Tags: bitcoin, Cryptocurrency, คริปโตเคอเรนซี, คริปโทเคอร์เรนซี, นิโคลัส ปานิเกอร์โซโกล, บิตคอยน์, เงินคริปโต, เงินดิจิทัล