นักวิเคราะห์ฯเล็งตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ทั้งในแดนบวก-ลบ หลัง 2-3 วันที่ผ่านมาขึ้นไปมากแล้ว ท่ามกลางจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศเพิ่มขึ้นมาก-ต่างชาติก็เริ่มทยอยขาย ทำให้ Sentiment บ้านเราไม่ดีเท่าตลาดต่างประเทศ โดยตลาดภูมิภาคเช้านี้บวกตามดาวโจนส์ ขานรับยุโรปอนุมัติใช้วัคซีนต้านโควิดของ”โมเดอร์นา”แล้ว และเล็งพรรคเดโมแครตชนะเลือกตั้งวุฒิสภารอบสองในรัฐจอร์เจีย ทำให้หนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ส่งดอลลาร์สหรัฐฯมีโอกาสอ่อนค่าลง-เงินจะไหลออกไปภูมิภาคอื่น พร้อมให้แนวรับ 1,480 แนวต้าน 1,500-1,520 จุด
นายเกษม พันธ์รัตนมาลา กรรมการ และหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ทั้งในแดนบวก-ลบ หลังจากช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาตลาดฯปรับตัวขึ้นไปมากแล้ว ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศยังเพิ่มขึ้นอยู่มาก และนักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยขายออกมาด้วย ทำให้ Sentiment ตลาดบ้านเราอาจไม่ดีเท่าตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวในแดนบวกตามดาวโจนส์ ขานรับข่าวสำนักงานยาแห่งยุโรป (EMA) และคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ประกาศอนุมัติการใช้วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของบริษัทโมเดอร์นา อิงค์ ใน EU ซึ่งเพิ่มความหวังว่ายุโรปจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้
นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่าพรรคเดโมแครตจะกวาดชัยชนะในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภารอบสองในรัฐจอร์เจีย ซึ่งจะปูทางสำหรับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ซึ่งอาจจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลง และมีโอกาสไหลเข้ามาในภูมิภาคอื่นนอกสหรัฐฯ
พร้อมให้แนวรับ 1,480 จุด ส่วนแนวต้าน 1,500-1,520 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (6 ม.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,829.40 จุด พุ่งขึ้น 437.8 จุด (+1.44%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,748.14 จุด เพิ่มขึ้น 21.28 จุด (+0.57%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,740.79 จุด ลดลง 78.17 จุด (-0.61%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 2.03 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 284.52 จุด และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 23.64 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (6 ม.ค.) 1,492.36 จุด ลดลง 14.29 จุด (-0.95%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,533.43 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 ม.ค.64
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (6 ม.ค.) ปิดที่ 50.63 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 70 เซนต์ หรือ 1.4%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (6 ม.ค.) อยู่ที่ 1.24 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 29.89/91 ตลาดจับตาผลเลือกตั้งทางการส.ว.รัฐจอร์เจีย ให้กรอบ 29.85-29.95
- “สุพัฒนพงษ์” ขอเวลาประเมินผลกระทบโควิด-19 อีก 7 วัน ก่อนคลอดมาตรการเยียวยา ยืนยันยังไม่ได้ข้อสรุปฟื้น “เราไม่ทิ้งกัน 2” ขณะที่คลังเร่งหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อชงเข้า ครม.เร็วๆ นี้ ย้ำรัฐบาลมีเม็ดเงินเพียงพอรองรับดูแลเศรษฐกิจ ปัดเพิ่มวงเงินและขยาย “คนละครึ่ง” ยันไม่ได้แจกเงิน 4 พันบาท 2 เดือน 40 ล้านคน ด้าน รมว.เกษตรฯ สั่งเตรียมพร้อมเยียวยาเกษตรกร 8 ล้านราย ส่วน กกร.แนะรัฐเพิ่มวงเงิน “คนละครึ่ง” เป็น 5,000 บาท ลดภาระประชาชนคุมแรงงานผิดกฎหมาย วัคซีนทั่วถึง พร้อมหั่นจีดีพี ปี 64 โตในกรอบ 1.5-3.5%
- คลัง แตะเบรกราคาประเมินที่ดินปี 64 หลังเตรียมข้อมูลพบราคาเตรียมขยับขึ้น 7-8% แต่โดนโควิด-19 สกัดต้องรื้อประเมินใหม่ แย้มอาจไม่ขยับแรงอย่างคาด เร่งประมูล-ดึงที่ราชพัสดุบริหารเอง ปั๊มรายได้เข้ารัฐหมื่นล้านบาท
- IAA คาดดัชนีหุ้นไทยปิดสิ้นปี 2564 เฉลี่ยอยู่ที่ 1,559 จุด ชี้ปัจจัยการเมือง-โควิด-19 กระทบ ตลท.บังคับแคชบาลานซ์หุ้นเดลต้า ป้องกันเก็งกำไร SET ตกรูด 14 จุด วอลุ่มโหด 1.4 แสนล้านบาท
- รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากรายงานคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 ม.ค.64 โดย กนง.ได้ประเมินเศรษฐกิจไทยยังเจอความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนสูงทั้งโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ หากระบาดรุนแรงจะกระทบมาก ควรติดตามอย่างใกล้ชิดและประเมินความเพียงพอของมาตรการภาครัฐ และเร่งให้สถาบันการเงินปรับโครงสร้างหนี้ทั้งรายย่อยและภาคธุรกิจให้เกิดผลเร็วและเร่งปล่อยสินเชื่อผ่านโครงการ เช่น การใช้กลไกการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่อ (บสย.) เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องที่ตรงจุดและทันการณ์ เป็นต้น
หุ้นเด่นวันนี้
- TISCO (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ”เป้า 102 บาท คาดเป็นธนาคารที่จะประกาศกำไร Q4/63 แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม Flat Q-Q และ –14% Y-Y (คาดทั้งกลุ่ม +1% Q-Q, -34% Y-Y) และเป็นหนึ่งในหุ้น Defensive ที่ดีที่สุดในกลุ่มฯ จากการรักษาคุณภาพสินทรัพย์และฐานะการเงินที่ดี รวมถึง Dividend Yield ที่สูง 4.2% ในปี 63 และ 8.4% ในปี 2564
- BBL (เคทีบี) เป้าเชิงกลยุทธ์ 127 บาท อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี ดีดตัวขึ้น (นักลงทุนขาย) ทำให้อัตราดอกเบี้ยมีโอกาสเพิ่มขึ้นตาม เป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคารซึ่งมีรายได้หลักมาจากดอกเบี้ย และในปี 2564 จากการตั้งสำหรับของ BBL ที่น้อยกว่าธนาคารพาณิชย์อื่น ทำให้กำไรมีโอกาสเติบโตมากกว่ากลุ่ม พร้อมประเมินกำไรปี 2563-2564 ที่ 2 หมื่นล้านบาท และ 2.29 หมื่นล้านบาท ชะลอตัวลง -43.9%YoY, +14.3%YoY ตามลำดับ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (7 ม.ค. 64)
Tags: BBL, TISCO, ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี, ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นไทย, หุ้นไทย, เกษม พันธ์รัตนมาลา