นางสาวศิริพร สุวรรณการ Managing Director – Financial Advisory Head Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ประเทศไทยตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ หรือ Medical Hub ในปี 2568 การตั้งเป้านี้ หมายถึง ประเทศไทยมีศักยภาพในด้านองค์ความรู้ บุคคลากรและเทคโนโลยีที่พร้อมที่จะพัฒนาเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายนั้น หนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญคือการแพทย์แม่นยำ หรือ Precision Medicine ยิ่งไปกว่านั้น ความสำเร็จของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่จะมาเปลี่ยนสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นความหวังที่คนทั่วโลกสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ส่งผลให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้ และที่สำคัญนวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นโอกาสดีให้กับการลงทุนในหมวดหมู่ของโกลบอลเฮลท์แคร์
ทั้งนี้ ธนาคารเชื่อว่าการลงทุนในโกลบอลเฮลท์แคร์ นับเป็นโอกาสการลงทุนที่ดีในระยะยาวได้อย่างแน่นอน โดยกลุ่มธนาคารมีกองทุน K-GHEALTH ซึ่งมีนโยบายการลงทุนที่เน้นธีมการลงทุนระยะยาวจากนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ก้าวกระโดด ทางด้านการรักษาอย่างตรงจุด หรือการแพทย์แม่นยำ การวิเคราะห์ต้นเหตุสาเหตุของโรคจากพันธุกรรมในแต่ละบุคคล การสร้างธุรกิจใหม่ ๆ ที่สามารถตอบสนองกับพฤติกรรมของผู้บริโภค และรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป เพื่อให้ตอบโจทย์ New Normal รวมถึงเทรนด์การเข้าถึงบริการสาธารณสุข ดูแลสุขภาพ และสังคมผู้สูงอายุ
กองทุน K-GHEALTH เน้นลงทุนในหุ้นทางการแพทย์และการดูแลรักษาสุขภาพใน 4 กลุ่มหลัก ได้แก่
- Pharma – ยา ที่สามารถรักษาได้อย่างตรงจุด เช่น บริษัท Roche ผู้ผลิตเครื่องตรวจวัดโรคจากเลือด , บริษัท Novo Nordisk ที่มีความเชี่ยวชาญโรคเบาหวานโดยเฉพาะ กว่า 50% ของอินซูลินที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้มาจากบริษัทนี้ทั้งสิ้น ปัจจุบันพัฒนาให้อินซูลินอยู่ในรูปแบบเม็ดสะดวกกับผู้ป่วยมากขึ้น เป็นต้น
- Biotech – การรักษาที่รักษาไปจนถึงระดับพันธุกรรม เช่น บริษัท AMGEN ที่เชี่ยวชาญในการรักษาโรคมะเร็งและโรคหัวใจ , บริษัท Alexion เน้นรักษาโรคเฉพาะทาง หรือโรคหายาก เช่น โรคฟอสฟอรัสในเลือดต่ำ ซึ่งให้ผลดี
- Medical Tech – เทคโนโลยีที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคเพื่อการรักษาที่ถูกต้องตรงจุด เช่น บริษัท Twist Bioscience เป็นผู้ผลิต DNA สังเคราะห์ ร่วมกับ Microsoft ในการจัดเก็บ DNA ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล และ 4. Healthcare Services – การเข้าถึงบริการทางสาธารณสุขในราคาที่เหมาะสม เช่น ระบบประกันสุขภาพของบริษัท Centene และ บริษัท United Health Group มีบริษัทในเครือข่ายมาก รวมถึงแพทย์ผู้รักษาจำนวนมาก เป็นต้น
กองทุน K-GHEALTH มีการจ่ายปันผลรวมแล้วทั้งสิ้น 8 ครั้ง เป็นเงิน 1.90 บาทต่อหน่วย โดยในรอบผลการดำเนินงาน 1 ปีที่ผ่านมา กองทุนมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 3% ต่อปี และมีผลการดำเนินงานย้อนหลังรวมเงินปันผลทั้งหมดตั้งแต่จัดตั้งวันที่ 26 พฤศจิกายน 2557 อยู่ที่ 45.5% (ข้อมูล ณ วันที่ 2 ธ.ค. 63)
ทั้งนี้ ในงานสัมมนา “Health is Wealth” ที่ผ่านมานายแพทย์มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เปิดเผยว่า ในแวดวงบริษัทด้านการแพทย์ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งกลุ่มบริษัทที่มีงบประมาณด้านการวิจัยและการพัฒนา (Research and Development) มากที่สุด อย่างไรก็ตาม การอุบัติขึ้นของโรคโควิด-19 เป็นตัวเร่งสำคัญให้บริษัทด้านการแพทย์ต้องใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีให้เกิดผลลัพธ์เป็นวัคซีนป้องกันอย่างเร็วที่สุด เช่นเดียวกัน
“คนทั่วโลกกำลังต้องตารอและเป็นกังวลก็คือสำหรับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ถือว่าเป็นครั้งในแรกในวงการการแพทย์ที่ดึงเอานวัตกรรม องค์ความรู้ ทั้งหมดของโลกนี้นำมาทำงานร่วมกัน เห็นการพัฒนาที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ใช้เวลาเพียง 8 เดือนในการพัฒนาวัคซีน มีคนได้ฉีดวัคซีนเข็มแรกเรียบร้อยแล้ว มีวัคซีนที่อยู่ในกระบวนการทั้งหมด 140 ตัว และได้รับการอนุมัติแล้วจาก 2 บริษัท คือ Moderna และ Pfizer ซึ่งกำลังจะตามอีก 4-5 บริษัท โดยมีกำลังการผลิตในปี 2564 จาก 6 บริษัทนี้ สูงถึง 8 พันล้านโดส ครอบคลุมคนกว่า 50% ทั่วโลก สามารถหยุดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ ถ้ากระจายการเข้าถึงวัคซีนให้ดี และทำให้สามารถใช้ชีวิตกันได้อย่างปกติ”
นายแพทย์มานพ กล่าว
ด้านนายนิโคลัส วิลค็อกซ์ ผู้จัดการกองทุน จาก JP Morgan Asset Management เปิดเผยว่า เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น ที่ผู้คนที่เกี่ยวข้องระดมสมองเพื่อให้การแพร่ระบาดจบลง ไม่ว่าจะเป็น เม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ไหลเข้ามาลงทุนด้านสาธารณสุข ความพยายามที่จะป้องกันการแพร่ระบาด การคิดค้นวัคซีน การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) รวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการดำรงชีวิตจากนโยบายเว้นระยะห่างทางสังคม
ด้านการแพทย์ที่มีการนำโทรเวชกรรม (Telemedicine) หรือ การนำเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์สามารถพูดคุยกันได้แบบ Real-time ทางไกลเกิดขึ้น ทั้งหมดนี้ถือเป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง (Mega trend) และรูปแบบธุรกิจครั้งใหญ่ (Disruption) ที่เกิดขึ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การขยายบริการทางการแพทย์ไปสู่ประเทศกำลังพัฒนา ถือเป็นแรงหนุนที่สำคัญในระยะยาวต่อไป
และถึงแม้ว่าแนวโน้มของการดูแลรักษาสุขภาพจะได้รับความนิยมมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ปฏิเสธได้ยากว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้ทุกคนหันมาใส่ใจสุขภาพกันอย่างกว้างขวางมากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเติบโตมากขึ้น ถ้ามองลึกลงไปในหมวดหมู่ของการดูแลรักษาสุขภาพ มองว่ามีอีกหลายหมวดหมู่ย่อยที่มีความแข็งแกร่งและราคายังไม่สูงมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็น บริษัทยาที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ บริษัทไบโอเทคโนโลยีที่เป็นหุ้นขนาดกลางและเล็ก ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการควบรวมหรือการเข้าซื้อกิจการ สุดท้ายนี้ มองว่าเฮลท์แคร์ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ในอัตราที่ดี และยังคงมีนวัตกรรมที่จะปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจเฮลท์แคร์ยังคงน่าสนใจและเป็นโอกาสในการเพิ่มผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวต่อไปได้
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (5 ม.ค. 64)
Tags: JP Morgan Asset Management, K-GHEALTH, KBANK, Moderna, Pfizer, ธนาคารกสิกรไทย, ศิริพร สุวรรณการ, โกลบอลเฮลท์แคร์, โมเดอร์นา, ไฟเซอร์