แนวโน้มหุ้นไทยเช้าแกว่งในกรอบตามภูมิภาคใกล้หยุดยาว จับตาสถานการณ์โอมิครอน

นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งในกรอบสอดคล้องตลาดภูมิภาคเอเชียจากเข้าใกล้วันหยุดยาววอลุ่มอาจเบาบางลง และนักลงทุนอยู่ระหว่างติดตามพัฒนาการความรุนแรงของสถานการณ์โอมิครอน รวมถึงมาตรการสนับสนุน EV ที่ยังไม่ได้เสนอเข้า ครม.แต่อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจาก FDA อนุมัติใช้ยาแพกซ์โลวิด (Paxlovid) รักษาโควิด ให้แนวรับ 1,620 จุด และแนวต้าน 1,635 จุด

น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดแกว่งตัวในกรอบสอดคล้องกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากเข้าใกล้วันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่อาจทำให้ปริมาณการซื้อขายค่อนข้างเบาบางลง ขณะเดียวกันนักลงทุนยังติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนว่าจะแย่ลงหรือไม่ รวมถึงมาตรการผลักดันการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของภาครัฐที่ยังไม่ได้เสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.)

อย่างไรก็ตาม วันนี้ภาพรวมตลาดฯ ยังได้ปัจจัยหนุนเล็กๆ จากการที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ได้อนุมัติการใช้ยาแพกซ์โลวิด (Paxlovid) ของบริษัทไฟเซอร์ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 เป็นกรณีฉุกเฉินแล้ว

ให้แนวรับไว้ที่ 1,620 จุด และแนวต้าน 1,635 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

– ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (22 ธ.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,753.89 จุด เพิ่มขึ้น 261.19 จุด (+0.74%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,696.56 จุด เพิ่มขึ้น 47.33 จุด (+1.02%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,521.89 จุด เพิ่มขึ้น 180.81 จุด (+1.18%)

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 140.80 จุด หรือ +0.49%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 39.46 จุด หรือ +0.17% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 2.85 จุด หรือ +0.08%

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (22 ธ.ค.) 1,626.79 จุด เพิ่มขึ้น 4.54 จุด (+0.28%)

– นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 793.78 ล้านบาท เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.64

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (22 ธ.ค.) ปิดที่ระดับ 72.76 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.64 ดอลลาร์ หรือ 2.3%

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (22 ธ.ค.) อยู่ที่ 6.13 ดอลลาร์/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 33.63 แข็งค่าจากวานนี้ คาดธุรกรรมเบาบาง ตลาดรอดูทิศทาง Flow

– สธ.เผยผู้ติดเชื้อโควิด “โอมิครอน” สะสมแล้ว 104 ราย เพิ่มขึ้น 41 รายใน 2 วันมาจากต่างประเทศ ไทยติดในประเทศเพิ่ม 1 รายเป็นลูกเขยติดจากคู่สามีภรรยา “ครอบครัวกาฬสินธุ์” กลับจากนอกเป็นรายที่ 2 ย้ำยังไม่มีจุดเริ่มติดเชื้อในไทย หากประเมินวันที่ 4 ม.ค. ผ่านไปด้วย ดีเร่งผ่อนคลาย เอกชนลุ้นระบบเปิดหลังประเมิน ยอดทัวริสต์จ่อเข้าไทยอีก 2 แสนคน

– กนง.มีมติคงดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% พร้อมปรับเพิ่มจีดีพีปี 64 เป็น 0.9% จากเดิม 0.7% ปี 65 ปรับลดเหลือ 3.4% จากเดิม 3.9% เพราะกังวลผลกระทบจากโควิด-19 สายพันธุ์ Omicron นักท่องเที่ยวครึ่งปีแรกลดลงกว่าที่ประเมินไว้ ห่วงแรงกดดันเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูง ขณะนี้ยังมีความผันผวนชั่วคราวเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิต

– นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กบอ.ได้ติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ประกอบด้วย 1.ความสำเร็จอีอีซีผ่าน 4 โครงสร้างพื้นฐานเดินหน้าใช้เงินไทย ใช้คนไทย ใช้บริษัทไทย ทำให้รัฐได้ผลตอบแทนรวม 200,000 ล้านบาท อาทิ โครงการร่วมลงทุนรัฐ-เอกชน (PPP) ที่มีการเซ็นสัญญาครบ 4 โครงการ (รถไฟความเร็วสูง สนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือมาบตาพุดและแหลมฉบัง) มูลค่าลงทุน 654,921 ล้านบาท เป็นการลงทุนภาคเอกชน 416,080 ล้านบาท ลงทุนภาครัฐ 238,841 ล้านบาท โดยภาคเอกชนให้ผลตอบแทนภาครัฐ 440,193 ล้านบาท และรัฐได้ผลตอบแทน 210,352 ล้านบาท เป็นประวัติศาสตร์ความสำเร็จครั้งสำคัญของไทย

– นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า มาตรการของขวัญปีใหม่ของกระทรวงการคลัง ซึ่งรวมถึงโครงการช้อปดีมีคืน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ.65 ถือเป็นการเริ่มต้นและเป็นกระสุนทางเศรษฐกิจนัดแรกในการอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยที่มีประสิทธิภาพสามารถสนับสนุนการใช้จ่ายของผู้คนได้ตรงจุด อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมมาตรการท่องเที่ยวของรัฐให้เกิดประสิทธิผลยิ่งขึ้น คาดการณ์ว่าจะมีเงินสะพัดเข้าไปในระบบเศรษฐกิจกว่า 4-5 หมื่นล้านบาท

หุ้นเด่นวันนี้

– EPG (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 12.00 บาท เด่นสุดในผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ EV จากความพร้อมในการรับงาน คาดปี 65 งานแน่นรับ Demand กลุ่มยานยนต์ที่จะโตต่อ Valuation ถูกน่าเก็บ ปัจจุบันเทรดบน P/E เพียง 18X และยังเป็นหุ้นที่เพิ่งจะเข้าคำนวณใน SET100 รอบล่าสุดด้วย KTBST ประเมินกำไรสุทธิปี 2022-2023 ที่ 1.69 พัน ลบ. และ 1.96 พัน ลบ. +39%YoY, +16%YoY ตามลำดับ

– NSL (ฟินันเซีย ไซรัส) เป้า 23.00 บาท แนวโน้ม Q4/64 ฟื้นแรงตามการ Re-open และโดยเฉพาะปัญหา Supply Chain ที่หมดไป ส่งผลให้ทั้งรายได้และ Margin ฟื้นตัวอย่างมีนัยยะ คาดกำไรปี 65 +25% Y-Y และเร่งตัวปีหน้า +44% Y-Y โดยระยะถัดไปคาดจะเติบโตในกัมพูชาตาม 7-11 เช่นกัน

-LH (คันทรี่ กรุ๊ป) เป้า 10.00 บาท กำไร Q4/64 สูงสุดในปีนี้ โดยคาดกำไรสุทธิ 1.95 พันล้านบาท(-17%YoY, +49%QoQ) ด้วยแรงหนุนส่วนแบ่งกำไร HMPRO และ QH เพิ่มขึ้น กอปรกับ การฟื้นตัวของรายได้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปัจจัยหนุนจากเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการใน Q4/64 มูลค่ารวม 8.9 พันลบ. และ Backlog กว่า 6.5 พันลบ.คงมุมมองบวกต่อกำไรปี 65 จากโครงการใหม่ราว 2.9 หมื่นลบ. (+46%YoY) และโครงการคอนโดมิเนียม” The key Rama3 ” ซึ่งจะรับรู้รายได้ช่วง H2/65 จะช่วยสนับสนุนผลประกอบการ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ธ.ค. 64)

Tags: , , ,
Back to Top