ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) ควรได้รับวัคซีนเข็มบูสเตอร์เป็นวัคซีนชนิด mRNA
คำแนะนำดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ปรึกษาของ CDC ลงมติเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยได้แนะนำให้ชาวอเมริกันเลือกฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของโมเดอร์นาหรือของไฟเซอร์ มากกว่าของ J&J หลังมีรายงานว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนของ J&J จำนวนหลายสิบรายเกิดอาการลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่พบบ่อย
ขณะที่บริษัทโมเดอร์นา อิงค์ เปิดเผยวานนี้ว่า การฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ขนาด 50 ไมโครกรัมของบริษัท จะช่วยให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีต้านไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนเพิ่มขึ้น 37 เท่า เมื่อเทียบกับการฉีดวัคซีนเพียง 2 เข็ม นอกจากนี้ หากมีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ขนาด 100 ไมโครกรัมจะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโอมิครอนเป็น 83 เท่า
ทางด้านคริสเตน นอร์ลันด์ โฆษกของ CDC ระบุว่า “เมื่อพิจารณาจากคำแนะนำใหม่ นั่นหมายความว่า วัคซีนเข็มบูสเตอร์ซึ่งจะนำมาฉีดหลังได้รับวัคซีน J&J มาแล้วอย่างน้อยสองเดือนควรเป็นวัคซีนชนิด mRNA” โดยเพิ่มเติมว่า “หากคุณได้รับวัคซีนเข็มบูสเตอร์ชนิดอื่นมาแล้ว ก็อาจไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนชนิด mRNA ซ้ำอีก”
ทั้งนี้ ผลวิจัยที่เผยแพร่เมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมาระบุว่า การฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ชนิด mRNA หลังได้รับวัคซีนแบบโดสเดียวของ J&J มีแนวโน้มเสริมประสิทธิภาพการป้องกันของแอนติบอดีได้ดีที่สุด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ธ.ค. 64)
Tags: CDC, J&J, Moderna, mRNA, Pfizer, จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน, ฉีดวัคซีนโควิด, ชาวอเมริกัน, วัคซีนต้านโควิด-19, วัคซีนเข็มบูสเตอร์, สหรัฐ, โควิด-19, โมเดอร์นา, ไฟเซอร์