ดังนั้นอยากกระทรวงการคลัง และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ควรพิจารณาการจัดเก็บภาษีขายหุ้นอย่างเหมาะสม เพื่อที่จะกระทบกับนักลงทุนเหมาะสม ซึ่งหากมีการจัดเก็บภาษีตามปริมาณการซื้อขาย หรือ หลักเกณฑ์บางอย่าง จะสามารถลดผลกระทบกับนักลงทุนได้ ด้านอัตราการจัดเก็บภาษีที่จะใช้ มองว่าควรมีความเหมาะสมและเป็นอัตราภาษีที่ยังสามารถให้ตลาดทุนไทยแข่งขันกับตลาดอื่นๆในภูมิภาคได้
“ภาครัฐมองว่าปัจจุบันมีความจำเป็นที่จะต้องเก็บภาษีดังกล่าวเนื่องจากได้รับการยกเว้นมาหลายปีแล้ว และปัจจุบันภาครัฐมีความจำเป็นที่จะเก็บภาษีเพื่อมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเราได้วิเคราะห์และให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังจากมีการเก็บภาษีขายหุ้นกับคลัง และ ก.ล.ต. ไปเพื่อพิจารณาแล้ว ซึ่งเราอยากจะให้พิจารณาอย่างเหมาะสมเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับนักลงทุน และยังช่วยให้เราแข่งขันกับตลาดอื่นๆได้ในภูมิภาค
นายภากร กล่าว
ด้านนายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบีเอสที กล่าวว่า หากภาครัฐฯจะเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นในอัตรา 0.1% มองว่าสูงเกินไป ทำให้ตลาดฯไม่ค่อยจะน่าสนใจในการลงทุน แต่ถ้าหากเรียกเก็บภาษี Capital Gain Tax ไม่น่าจะมีผลมาก เพราะเป็นการเก็บภาษีจากกำไรที่ได้จากการขายหุ้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ธ.ค. 64)
Tags: ก.ล.ต., ตลาดหุ้นไทย, ภากร ปีตธวัชชัย, ภาษีขายหุ้น