บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) เป็นระดับ “BBB-” จาก “BB+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่”
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้น ตลอดจนการฟื้นตัวของปัจจัยกำหนดคุณภาพเครดิตซึ่งเป็นผลจากภาวะอุปสงค์และอุปทานของอุตสาหกรรมของเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองที่เอื้ออำนวย ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะบริหารจัดการงบดุลให้แข็งแกร่งขึ้นในภาวะที่อุตสาหกรรมอยู่ในช่วงฟื้นตัว เพื่อรองรับกับการลงทุนในอนาคตหรือในกรณีที่อุตสาหกรรมอยู่ในช่วงขาลง
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทที่อยู่ในระดับสูงจากอุตสาหกรรมที่มีความผันผวนและขึ้นลงตามวัฏจักร ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่ช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของอุปทานไปได้ในระยะหนึ่งนั้น ก็เป็นปัจจัยลดทอนอันดับเครดิตด้วยเช่นกัน เนื่องจากบริษัทจะมีภาระการลงทุนขนาดใหญ่ในอนาคตในการปรับเปลี่ยนกองเรือของบริษัท
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
- ผลการดำเนินงานแข็งแกร่งในปี 2564 ผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกับอุตสาหกรรม จากการพุ่งขึ้นของค่าระวางเรือ หลังจากที่เกิดภาวะชะงักงันอันเป็นผลจากโรคโควิด 19 ในปีก่อนหน้า ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่า ค่าระวางเรือจะอยู่ในระดับสูงมากกว่าปกติในปี 2564 ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวของอุปสงค์หลังภาวะชะงักงัน การเพิ่มขึ้นของความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ในประเทศจีน และความหนาแน่นของท่าเรือตามมาตรการที่เกี่ยวกับโรคโควิด 19 ซึ่งส่งผลให้เกิดความจำกัดของอุปทานในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้น ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าอุปสงค์จะกลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น และการจำกัดด้านอุปทานก็จะค่อย ๆ คลี่คลายลง ซึ่งจะส่งผลให้อัตราค่าระวางเรือในปี 2565-2566 ลดลงจากระดับปี 2564 แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ดี
ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่าค่าระวางเรือ (Time Charter Rate — TC) โดยเฉลี่ยของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 18,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในปี 2564 และอยู่ที่ระหว่าง 11,000-15,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในระหว่างปี 2565-2566 โดยทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงมีการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าค่าใช้จ่ายในการเดินเรือจะอยู่ในระดับเฉลี่ยที่ประมาณ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในช่วงปี 2564-2566
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ประมาณ 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2564 และ 150-200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในปี 2565-2566 มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ประมาณ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2564 และ 60-105 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในปี 2565-2566 รวมทั้งจะมีเงินทุนจากการดำเนินงาน (FFO) ประมาณ 135 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2564 และ 50-95 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในปี 2565-2566
- ภาวะอุปสงค์และอุปทานที่เอื้ออำนวย ทริสเรทติ้งคาดว่าอุปทานของเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองจะเพิ่มขึ้นในระดับต่ำในอนาคตอันใกล้ จากการสั่งต่อเรือใหม่ในระดับต่ำ มาตรการที่เข้มงวดขึ้นเพื่อกำจัดคาร์บอนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลจนเหลือศูนย์ และความไม่แน่นอนทางเทคโนโลยีเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวทำให้เกิดความเสี่ยงที่เรือที่ถูกสั่งต่อในขณะนี้จะมีอายุการใช้งานต่ำกว่าที่ควรจะเป็น อีกปัจจัยที่สนับสนุนภาวะอุปทานคือความจำกัดของอู่ต่อเรือที่ขณะนี้เต็มไปด้วยคำสั่งต่อเรือ Container และเรือขนส่งน้ำมันและก๊าซ
ในขณะที่ด้านอุปสงค์นั้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดำเนินการโดยรัฐบาลประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศจีนและประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่จะเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนอุปสงค์ต่อเรือสินค้าแห้งเทกอง อย่างไรก็ดี สถานการณ์โรคโควิด 19 ภาวะเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง ตลอดจนปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่จะขัดขวางการเติบโตด้านอุปสงค์
แม้ว่าภาวะอุปสงค์และอุปทานจะปรับตัวในทิศทางที่ดีในระยะใกล้ แต่ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองว่าอุตสาหกรรมเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงและเป็นปัจจัยที่จำกัดการประเมินสถานะทางธุรกิจของบริษัท การที่อุตสาหกรรมประกอบไปด้วยผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมาก ทำให้เกิดภาวะที่อุปสงค์และอุปทานไม่สมดุลบ่อยครั้ง รวมถึงภาวะอุปทานส่วนเกินที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในอดีต และด้วยธรรมชาติของธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนขนาดใหญ่ และไม่สามารถให้การบริการที่แตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น ทำให้เกิดการแข่งขันสูงด้านราคาและส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการ
- สถานะทางการเงินปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามภาวะตลาดที่ดีและรายได้ที่แข็งแกร่ง ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 1.6 เท่า (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 12 เดือน) เทียบกับระดับ 7.9 เท่า ณ สิ้นปี 2563 และมี FFO ต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 55.2% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 12 เดือน) เทียบกับระดับ 6% ณ สิ้นปี 2563 สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่ที่ 1.5-2.5 เท่าและอัตราส่วน FFO ต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 60% ในปี 2564 และ 35%-50% ในระหว่างปี 2565-2566
การคาดการณ์ระดับอัตราส่วนหนี้สินในระดับต่ำดังกล่าวสะท้อนถึงกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ดีตามภาวะอุตสาหกรรมและการลงทุนในระดับต่ำ อย่างไรก็ดี เมื่อบริษัทต้องเข้าสู่รอบการลงทุนใหม่ อัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวก็จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามธรรมชาติของธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนในระดับสูง ทริวเรทติ้งคาดว่า บริษัทจะมีการบริหารจัดการระดับหนี้สินและการจ่ายผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นอย่างเหมาะสม เพื่อเตรียมงบดุลของบริษัทให้พร้อมรองรับการลงทุนรอบใหม่ พร้อมทั้งเพื่อให้มีความยืดหยุ่นในภาวะที่ตลาดเข้าสู่ช่วงขาลง
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 210 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากหนี้สินทั้งหมดเป็นหนี้สินที่มีหลักประกัน ทำให้ทริสเรทติ้งมองว่าเจ้าหนี้ของบริษัทที่ไม่มีหลักประกันมีความเสียเปรียบเจ้าหนี้ที่มีหลักประกันในการเรียกร้องสิทธิ์เหนือทรัพย์สินของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
ตามข้อกำหนดทางการเงินที่ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity — D/E) ในระดับที่ต่ำกว่า 2 เท่า และดำรงอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ (Debt Service Coverage Ratio — DSCR) ไม่ต่ำกว่า 1.1 เท่านั้น ณ เดือนกันยายน 2564 บริษัทมี D/E อยู่ที่ 0.73 เท่า และ DSCR ที่ 2.71 เท่า ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทน่าจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้ตลอดช่วงระยะเวลาประมาณการ
- สภาพคล่องเพียงพอ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 ทริสเรทติ้งประเมินสถานะสภาพคล่องของบริษัทว่าอยู่ในระดับที่เพียงพอในระยะ 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทมีภาระหนี้สินทางการเงินที่จะครบกำหนดชำระรวมประมาณ 52 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีแผนการลงทุนรวมประมาณ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเงินปันผลที่ประกาศจ่ายประมาณ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แหล่งสภาพคล่องหลักของบริษัทมาจากเงินสดในมือจำนวนประมาณ 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 และ FFO ที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดหวังให้บริษัทยังคงสำรองเงินสดและบริหารจัดการสภาพคล่องให้สามารถรับมือกับภาวะความเสี่ยงใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
- ค่าระวางเรือโดยเฉลี่ยของบริษัทจะอยู่ประมาณ 18,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในปี 2564 และจะอยู่ระหว่าง 11,000-15,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในระหว่างปี 2565-2566
- ค่าใช้จ่ายในการเดินเรือจะอยู่ในระดับเฉลี่ยที่ประมาณ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อวันต่อลำในช่วงปี 2564-2566
- EBITDA ประมาณ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2564 และ 60-105 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในปี 2565-2566
- ค่าใช้จ่ายลงทุนรวมจะอยู่ที่ประมาณ 3-4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในระหว่างปี 2564-2566
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่องตามภาวะตลาดที่เอื้ออำนวย และทริสเรทติ้งยังคาดหวังให้บริษัทดำรงระดับสภาพคล่องที่เพียงพอเพื่อรับมือกับภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง โอกาสการปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีจำกัดในระยะสั้น อย่างไรก็ดี การปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าคาดอย่างต่อเนื่องพร้อมทั้งมีการบริหารจัดการงบดุลพร้อมรองรับกับการลงทุนรอบใหม่ อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทอ่อนแอลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ และ/หรือสถานะสภาพคล่องของบริษัทถดถอยลงอย่างมาก
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 ธ.ค. 64)
Tags: PSL, ทริสเรทติ้ง, พรีเชียส ชิพปิ้ง, หุ้นไทย