นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ฝ่ายวาณิชธนกิจ-ด้านตลาดทุน บล.เคทีบีเอสที ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ของ บมจ.เวิลด์เฟล็กซ์ (WFX) เปิดเผยว่า WFX กำหนดราคาขาย IPO ที่ 7.20 บาท/หุ้น โดยมาจากการสำรวจราคาตามความต้องการซื้อกับนักลงทุนสถาบัน (Book Building) ในช่วงราคา 7.00-7.20 บาท/หุ้น ซึ่งนักลงทุนสถาบันแสดงความสนใจในราคาสูงสุดที่ 7.20 บาท/หุ้น ทำให้บริษัทเคาะราคา IPO ดังกล่าว
“ราคา IPO ดังกล่าว ถือเป็นราคาที่เหมาะสมและมีการ Discount จากราคาเฉลี่ยที่โบรกฯ ให้เป้าหมายไว้ประมาณ 30% ซึ่งถือเป็นราคา IPO ที่จูงใจ และสอดคล้องของบริษัทที่จะเป็นหุ้น Growth และ Dividend stock” นายรัฐชัย กล่าว
สำหรับการเสนอขายหุ้น IPO ของบมจ.เวิลด์เฟล็กซ์ จะเสนอขาย IPO ทั้งหมด 142 ล้านหุ้นหรือ 30.59% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO โดยจะจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นของ TRUBB จำนวนไม่เกิน 11.36 ล้านหุ้น จัดสรรให้แก่กรรมการ ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทไม่เกิน 14.20 ล้านหุ้น เสนอขายให้แก่ผู้มีอุปการคุณของบริษัทไม่เกิน 18.46 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์จำนวนไม่น้อยกว่า 97.98 ล้านหุ้น
โดยจะจัดสรร IPO จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ การให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของ บมจ.ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์ กรุ๊ป (TRUBB) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในวันที่ 9-13 ธ.ค. 64 และการเสนอขายให้แก่บุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายและให้กับผู้มีอุปการคุณของบริษัท รวมถึงกรรมการ ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทในวันที่ 15-17 ธ.ค. 64 และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันแรกในช่วงปลายเดือนธ.ค. 64 หรือก่อนวันคริสต์มาส
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทมีแผนจะนำไปขยายโรงงานผลิตเส้นด้ายยางยืด จำนวน 350 ล้านบาท การชำระคืนเงินกู้แก่สถาบันการเงิน 400 ล้านบาท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ 248.12 ล้านบาท
นายณัฐ วงศาสุทธิกุล กรรมการผู้จัดการ WFX เปิดเผยว่า หลังจากเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถือเป็นการสร้างโอกาสในการเติบโตและเพิ่มศักยภาพให้กับบริษัท โดยเฉพาะการนำเงินไปใช้ในการขยายกำลังผลิตเส้นด้ายยางยืด 2 เฟสใหม่ รวม 12,400 ตัน/ปี จากกำลังการผลิตปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตรวม 35,000 ตัน/ปี โดยที่กำลังการผลิตใหม่แบ่งเป็น เฟสแรก 6,200 ตัน/ปี จะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ช่วงกลางปี 65 และเฟส 2 กำลังการผลิต 6,200 ตัน/ปี จะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในช่วงปลายปี 66 ทำให้บริษัทสามารถรองรับออเดอร์ของลูกค้าได้มากขึ้น และทำให้บริษัทสามารถรักษาระดับการเติบโตของยอดขายได้เฉลี่ย 15% ต่อปี
ปัจจุบันบริษัทมองว่าโอกาสในการขยายตลาดของเส้นด้ายยางยืดมีอยู่อีกมาก จากปริมาณความต้องการใช้เส้นด้ายยางยืดทั้งโลกในปัจจุบันสูงถึง 200,000 ตัน แม้ว่าผู้ประกอบการเส้นด้ายยางยืดในโลกมีอยู่หลายราย แต่มีเพียงไม่กี่ประเทศที่เป็นผู้นำตลาดที่ครองส่วนแบ่งตลาด (Market share) มากที่สุด ซึ่งรวมถึงบริษัทที่เป็นผู้นำที่ครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับต้นๆ ทำให้มีศักยภาพในการรองรับออเดอร์จากลูกค้าอีกมาก ส่งผลให้บริษัทยังมีการโอกาสขยายการเติบโตของผลการดำเนินงานได้อีกมาก
นอกจากนี้ การนำเงินที่ได้จาก IPO ไปใช้คืนหนี้เงินกู้ระยะสั้นที่มีดอกเบี้ยสูง ทำให้บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลงไปได้อย่างมีนัยสำคัญ และทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทลดลงมาที่ 0.3 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.12 เท่าทำให้บริษัทมีภาระหนี้สินลดลง รวมถึงการบริหารสต็อกและค่าเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายชวลิต ติยาเดชาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WFX กล่าวว่า การเข้าระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตให้กับบริษัทจากการขยายตลาดใหม่ภายใต้จุดแข็งที่เหนือกว่าคู่แข่งในตลาด ไม่ว่าจะเป็นความได้เปรียบของโปรดักส์ที่มีความหลากหลาย ครอบคลุมทุกขนาด ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด
อีกทั้งยังมีความได้เปรียบด้านการเข้าถึงวัตถุดิบ เพราะโรงงานผลิตของบริษัทอยู่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำยางข้นอันดับ 1 ของโลก เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเส้นด้ายยางยืด รวมทั้งการที่มี TRUBB ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำยางข้นในไทยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ช่วยให้บริษัทเข้าถึงวัตถุดิบที่มีคุณภาพในปริมาณที่ต้องการ ทำให้บริษัทมั่นใจว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วง 1-3 ปี ข้างหน้าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ธ.ค. 64)
Tags: IPO, WFX, ณัฐ วงศาสุทธิกุล, รัฐชัย ธีระธนาวัฒน์, หุ้นสามัญเพิ่มทุน, หุ้นไทย, เวิลด์เฟล็กซ์