ครม.รับทราบหนี้สาธารณะสิ้นปีงบฯ 64 ยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบรายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ และรายงานสถานะหนี้สาธารณะ หนี้ภาครัฐ และความเสี่ยงทางการคลัง ณ วันสิ้นปีงบประมาณ 2564 (30 ก.ย.64) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มีรายละเอียดดังนี้

1.รายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ มีสัดส่วนหนี้สาธารณะที่เกิดขึ้นจริง ณ 30 ก.ย.64 ยังคงอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด คือ

(1) สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ 58.15% ไม่เกินกรอบที่กำหนดคือ 70%

(2) สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ 32.27% ไม่เกินกรอบที่กำหนดคือ 35%

(3) สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด 1.80% ไม่เกินกรอบที่กำหนดคือ 10%

(4) สัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ 0.06% ไม่เกินกรอบที่กำหนดคือ 5%

2.รายงานสถานะหนี้สาธารณะ หนี้ภาครัฐ และความเสี่ยงทางการคลัง สถานะหนี้คงค้าง

สถานะหนี้คงค้าง มีจำนวน 9.34 ล้านล้านบาท คิดเป็น 58.15% ต่อ GDP เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าจำนวน 1.49 ล้านล้านบาท สาเหตุที่เพิ่มขึ้นเกิดจากการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ และการกู้เงินภายใต้กฎหมายพิเศษ 2 ฉบับ คือ 1)พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 พ.ศ.2563 และ 2)พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคโควิด-19 เพิ่มเติม พ.ศ.2564

สำหรับสถานะหนี้สาธารณะ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2564 มีรายละเอียด ดังนี้

(1) หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง จำนวน 7,504,214.24 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 46.73% ต่อ GDP

(2) หนี้รัฐบาลกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) จำนวน 699,484.43 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 4.36% ต่อ GDP

(3) หนี้ของรัฐวิสาหกิจ จำนวน 845,639.91 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 5.27% ต่อ GDP

(4) หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจในภาคการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) จำนวน 281,041.62 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.75% ต่อ GDP

(5) หนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน 7,162.82 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 0.04% ต่อ GDP

สำหรับหนี้เงินกู้คงค้างของหน่วยงานรัฐ ประกอบด้วย

(1) รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ คือ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) หรือ ปตท.สผ. จำนวน 1.20 แสนล้านบาท

(2) รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงิน ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ และธุรกิจประกันสินเชื่อที่กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน เช่น เช่น บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ธนาคารออมสิน และธนาคารอาคารสงเคราะห์ จำนวน 5.90 แสนล้านบาท

(3) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 7,850 แห่ง มีจำนวน 3.65 หมื่นล้านบาท

(4) ธนาคารแห่งประเทศไทย มีจำนวน 4.61 ล้านบาท

ส่วนความเสี่ยงทางการคลังยังอยู่ภายใต้กรอบในการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด โดยหนี้ส่วนใหญ่ 84.11% เป็นหนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณโดยตรง ซึ่งรัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระคืนเมื่อถึงกำหนด ส่วนหนี้ที่ไม่เป็นภาระต่องบประมาณโดยตรงนั้น หน่วยงานจะเป็นผู้รับภาระการชำระหนี้ โดยใช้แหล่งรายได้อื่นที่ไม่ใช่งบประมาณมาชำระหนี้ สำหรับหนี้เงินกู้ของหน่วยงานรัฐที่ไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ ไม่มีผลกระทบต่อภาระทางการคลัง เนื่องจากเป้นหน่วยงานที่มีสถานะการดำเนินงานที่มั่นคงและมีรายได้เพียงพอที่จะชำระหนี้เงินกู้เองได้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 พ.ย. 64)

Tags: , ,
Back to Top