หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งไซด์เวย์-อิงลง กังวลโควิดสายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกาใต้

นักวิเคราะห์ฯเล็งตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่ง Sideway Down คล้ายตลาดภูมิภาคที่เช้านี้ติดลบกันทั่วหน้า หลังตลาดสหรัฐฯปิดทำการเมื่อคืนที่ผ่านมา และจากกังวลไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่พบในแอฟริกาใต้ ทำให้อังกฤษสั่งระงับเที่ยวบินจากแอฟริกา และยังรับแรงกดดันเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าด้วย หลังเฟดพร้อมจะใช้นโยบายการเงินเข้มหากเงินเฟ้อพุ่ง จับตาประชุมศบค.ชุดใหญ่วันนี้ พร้อมให้แนวรับ 1,632-1,630 แนวต้าน 1,655-1,660 จุด

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway Down เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภคเอเชียที่เช้านี้ต่างติดลบกันทั่วหน้า หลังตลาดสหรัฐฯปิดทำการเมื่อคืนที่ผ่านมา และกังวลหลังจากที่นายทอม พีค็อก นักไวรัสวิทยาของอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอนในอังกฤษได้ตรวจพบคลัสเตอร์ขนาดเล็กของผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ดังกล่าวซึ่งมีชื่อว่า B.1.1.529 และไวรัสชนิดนี้สามารถหลบภูมิคุ้มกันได้ ทำให้อังกฤษมีการสั่งระงับเที่ยวบินที่มาจากแอฟริกา

นอกจากนี้ ยังได้รับแรงกดดันจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่แข็งค่า หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) พร้อมที่จะใช้นโยบายการเงินเข้มขึ้นหากเงินเฟ้อสูง ทำให้ไปกดดันตลาดหุ้น

อย่างไรก็ดี วันนี้ให้ติดตามการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ จะมีการพิจารณาผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลยังไม่อยากให้เปลี่ยนแปลงในลักษณะของการเปิดมากเกินไป

พร้อมให้แนวรับ 1,640 ถัดไป 1,632-1,630 จุด ส่วนแนวต้าน 1,655-1,660 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

– ตลาดหุ้นนิวยอร์ปิดทำการ (25 พ.ย.) เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day)

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 174.81 จุด หรือ -0.59%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 237.48 จุด หรือ -0.96% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 8.07 จุด หรือ -0.23%

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (25 พ.ย.)1,648.46 จุด ลดลง 1.36 จุด (-0.08%)

– นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 315.51 ล้านบาท เมื่อวันที่ 24 พ.ย.64

– ตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการ (25 พ.ย.)เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day)

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (25 พ.ย.) อยู่ที่ 2.82 ดอลลาร์/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 33.46 อ่อนค่าต่อเนื่องจากวานนี้ ตลาดจับตาสถานการณ์โควิด-ทิศทาง Flow

– กก.โรคติดต่อแห่งชาติชงแผน เปิดประเทศระยะ 2 เข้าที่ประชุม ศบค.วันนี้ เพิ่มช่องทางเข้าไทยผ่านด่าน-ท่าเรือที่ปลอดภัย ปรับใช้ ATK ตรวจหาเชื้อแทน RT-PCR หลังพบนักท่องเที่ยวอัตราติดเชื้อต่ำมาก พร้อมซื้อวัคซีนไฟเซอร์เพิ่ม 30 ล้านโดส ปี 65 ฉีดเด็กต่ำกว่า 12 จัดซื้อยา “แพ็กซ์โลวิด-โมลนูพิราเวียร์” รองรับป่วยอาการน้อย “หมอประสิทธิ์” แนะเข้มมาตรการ ธ.ค. เสี่ยงระบาดเพิ่ม

– ดีอีเอสยันรัฐไม่ได้เปิดช่องเอื้อนายทุน ระบุรัฐบาลรับทราบดีลการ ควบรวมระหว่าง 2 ยักษ์มือถือ สั่งจับตา ดูแลประชาชน พร้อมศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ย้ำอุตฯโทรคมยังไม่ถึงขั้นผูกขาดตลาด เพราะยังมี “เอไอเอส-เอ็นที” ให้บริการอยู่

กบข.ลุยปรับแผนลงทุนสมาชิกครั้งใหญ่ เริ่ม 30 พ.ย.นี้ เพิ่มทางเลือกการลงทุน เปิด 2 แผนใหม่ ลงทุนหุ้นใน-ต่างประเทศ 65% และแผนลุยลงหุ้นต่างประเทศเพียวๆ ตามกระแส

– คลัง-พลังงาน-กฟผ. เดินหน้าใช้รถยนต์ไฟฟ้าในส่วนงานราชการ นำร่องติดตั้งสถานีชาร์จไฟรถยนต์เชิงพาณิชย์ในสถานที่ราชการแห่งแรกของไทยที่กระทรวงการคลัง “อาคม” เร่งดันไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมหากลไกทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าถูกลง เล็งตั้งกองทุนพร้อมหนุนแบงก์รัฐปล่อยสินเชื่อซื้อรถยนต์ไฟฟ้าและลงทุนสถานีชาร์จ

หุ้นเด่นวันนี้

– IVL (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า 60 บาท คาดกำไร Q4/64 จะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากเกือบทุกผลิตภัณฑ์มีคำสั่งซื้อรองรับไปจนถึง Q1/65 การผลิตเดินหน้าเต็ม Capacity จากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ซัพพลายมีไม่เพียงพอหลังเกิดปัญหาขาดแคลนไฟฟ้าในจีน

– KTB (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 12.50 บาท ติดตาม “Big Change” ในเดือน ธ.ค. ผ่าน Digital transformation ด้วยการตั้งบริษัทร่วมต่างชาติ ภายใต้ KTBA กลุ่มธนาคารน่าสนใจ รับเศรษฐกิจฟื้น KTB ราคายัง Laggard กลุ่ม ซึ่งก่อนหน้า ธนาคารพาณิชย์ใหญ่มีประเด็นบวกเฉพาะตัว พร้อมประเมินกำไรสุทธิปี 64-65 ที่ 2.13 หมื่นลบ. และ 2.22 หมื่นลบ. +27%YoY, +4.4%YoY ตามลำดับ

– BCH (เอเชีย เวลท์) “ซื้อ” เป้า 29 บาท คาดผลประกอบการ Q4/64 อ่อนตัว QoQ แต่เติบโต YoY โดยรายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ลดลง แต่ยังมีต่อเนื่อง การฟื้นตัวของจานวนผู้ป่วยทั่วไป และวัคซีนทางเลือกช่วยหนุน ปัจจัยหนุนปี 65 มาจากการกลับเข้ามาใช้บริการของผู้ป่วยปกติและผู้ป่วยชาวต่างชาติ, โควต้าจำนวนผู้ประกันตนที่เพิ่มขึ้น และ Laboratory การนำเข้ายาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ และการจำหน่ายน้าวิตามิน โดยปรับกำไรสุทธิปี 64 ขึ้น 31% สะท้อนการดำเนินงานที่ดีกว่าคาด โดยยังมีมุมมองเป็นบวก แม้กำไรปี 65 จะลดลง YoY แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากฐานที่สูงกว่าปกติในปี 64 อย่างไรก็ตาม ประมาณการกำไรสุทธิในปี 65 ยังคงสูงกว่าในช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 พ.ย. 64)

Tags: , ,
Back to Top