THG คาดรายได้ปี 64 ทะลุ 1 หมื่นลบ. รับปัจจัยหนุนบริการตรวจ-รักษาโควิดยังสูง

น.ส.สุวดี พันธุ์พานิช กรรมการบริหาร บมจ.ธนบุรี เฮลท์ แคร์ กรุ๊ป (THG) เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้ปี 64 จะสามารถทะลุ 10,000 ล้านบาทได้ หลังจากที่ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้แล้ว 7,411.81 ล้านบาท โดยยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในกลุ่มโรงพยาบาลของ THG อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้บริษัทยังได้มีการให้บริการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนหมู่มาก เพื่อรับนโยบายเปิดประเทศของภาครัฐ โดยล่าสุดได้เริ่มทยอยฉีดวัคซีนโมเดอร์นาแก่ประชาชนที่ลงทะเบียนจองล่วงหน้ากับโรงพยาบาลในเครือ THG ในขณะเดียวกันยังมีประชาชนเข้าใช้บริการการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่องด้วย

พร้อมกันนี้บริษัทได้ตั้งบริษัทย่อย บริษัท ธนบุรี คานาบิซ จำกัด (มหาชน) หรือ THC เพื่อรุกธุรกิจกัญชงครบวงจร โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจกัญชงและกัญชา จะเพิ่มขึ้นเป็น 10% ภายใน 3 ปี

โดยคาดว่า THC จะมีการเติบโตราว 10-15% ต่อปี หลังจากเริ่มดำเนินการผลิตผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ ซึ่งปัจจุบันได้ยื่นขออนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์ด้านการแพทย์คุณภาพ (Medical grade) กับสำนักงานองค์การอาหารและยา (อย.) ไปแล้ว ซึ่งอยู่ในกระบวนการรออนุญาตให้ดำเนินการ ทั้งนี้สำหรับงบลงทุนใน THC ครั้งแรกใช้ประมาณ 100 ล้านบาท

“เรายังไม่สามารถประเมินรายได้ในช่วงปีแรกได้ชัด เพราะต้องขึ้นกับการอนุญาตของอย.อีก ว่าจะเริ่มผลิตสินค้าได้เมื่อไหร่ แต่คิดว่าสัดส่วนรายได้ของ THC จะคิดเป็น 10% ของ THG ได้ในอีก 3 ปี และยังมองโอกาสการเข้าระดมทุนในอนาคต เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนในการพัฒนาบริษัทฯ ต่อไป”

น.ส.สุวดีกล่าว

โดย THC จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนรวมทั้งให้คำปรึกษา เพื่อนำไปสู่การพัฒนากระบวนการผลิต สกัดและใช้พืชกัญชง (CBD) ที่มีคุณภาพมาตรฐาน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปถึงปลายน้ำ เพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์ และบำบัดโรค ภายใต้การควบคุมและดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่มุ่งขับเคลื่อนการใช้กัญชาทางการแพทย์ เพื่อนำมาใช้ส่งเสริมกับการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทย รวมถึงผลักดันกัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจในอนาคต

ในวันนี้ บริษัทได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU)ร่วมกับวิสาหกิจชุมชนเกือบ 10 ราย เพื่อร่วมเป็นภาคีในการทำธุรกิจร่วมกัน

สำหรับธุรกิจกัญชงต้นน้ำคือการควบคุมผลผลิตตั้งแต่การปลูกให้ได้คุณภาพตามมาตราฐาน Medical grade ซึ่งบริษัทฯ มีวิสาหกิจชุมชนที่มีความพร้อมในการลงทุน และมีเทคโนโลยีรวมถึง know how ในการปลูกเพื่อให้ได้ผลผลิตตามที่ต้องการ

ขณะที่ธุรกิจกัญชงกลางน้ำ ได้ร่วมกับนักวิชาการทั้งชาวไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะจากทางสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ได้ CBD ที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน Medical grade

ส่วนธุรกิจปลายน้ำ ได้มีการวิจัย และพัฒนาสูตรยา กับทาง CBD academy สหรัฐอเมริกามาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี ทำให้ได้รับสูตรยาและสูตรการผลิตสินค้า OEM ที่ได้มาตรฐานเทียบเท่าสากล

โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเบื้องต้น มองกลุ่ม B2B เป็นหลัก เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าเชื่อถือ และหลากหลายที่สามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะกลุ่มของลูกค้ารายย่อยได้ โดย THC สามารถร่วมสร้างสูตรผลิตภัณฑ์ใน กลุ่มบำรุงร่างกาย กลุ่มอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ กลุ่มครีมบำรุงเพื่อผิว sensitive และกลุ่มรักษาสิว รวมถึงกลุ่มชะลอวัย

ทั้งนี้ THG เป็นโรงพยาบาลรายแรกที่ทำธุรกิจกัญชงแบบครบวงจร โดยเริ่มตั้งแต่การปลูก การสกัด การผลิต จนถึงนำไปใช้ในการรักษาได้จริง สำหรับจุดเด่นในเรื่อง CBD ทางการแพทย์ของ THC อย่างแรกคือ บริษัทฯ ได้มีการแลกเปลี่ยนงานวิจัยทางด้านเทคโนโลยีการปลูก การวิจัย และพัฒนาสูตรยา กับทาง CBD academy สหรัฐอเมริกามาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี ทำให้ได้รับสูตรยาที่มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล รวมไปถึงการมีศูนย์ in Wellness ในเครือ THG ซึ่งเป็นศูนย์ที่ช่วยในการฟื้นฟูผู้ป่วยโดยอยู่ในการดูแลของแพทย์ และให้การแนะนำอย่างใกล้ชิดในการนำ CBD เข้ามาช่วยในการรักษาอีกทั้งยังเรายังได้มีการใช้นวัตกรรมมาช่วยให้คำปรึกษากับคนไข้ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยการใช้ download chat bot ซึ่งทีมแพทย์มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ตรงในการใช้ CBD ในการรักษาผู้ป่วย

ด้านนายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาได้เร่งสนับสนุนพืชกัญชา-กัญชงมากขึ้น เนื่องจากหลังจากเปิดประเทศ คาดว่าพืชสมุนไพรไทย เช่น ฟ้าทะลายโจร , กัญชง-กัญชา จะได้มีโอกาสได้รับความนิยมมากขึ้นในทางการแพทย์ เนื่องจากประเทศไทยมีภาคเอกชนเข้ามาช่วยสนับสนุนการพัฒนาและวิจัย

โดยจะมีการผลักดันให้กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ,สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ,วิทยศาสตร์การแพทย์ ลดระยะเวลาและลดขั้นตอนการขออนุญาตเพื่อให้ธุรกิจด้านกัญชาและกัญชงเกิดขึ้นได้จริง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 พ.ย. 64)

Tags: , , , ,
Back to Top