ฟิทช์ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ 3 หมื่นลบ.ของ PTTGC ที่ AA+(tha)

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) หุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ จำนวนไม่เกิน 3 หมื่นล้านบาท ของ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ AA+(tha) แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ) ที่ ‘AA+(tha)’

หุ้นกู้ดังกล่าวมีสถานะเท่าเทียมกับหนี้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัท และได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ PTTGC เช่นเดียวกันกับหนี้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิอื่นๆ ของบริษัท เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้จะนำไปใช้สำหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ชำระคืนหนี้ที่ครบกำหนดและใช้สำหรับการลงทุน

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

– การเข้าซื้อกิจการทำให้การลดอัตราส่วนหนี้สินล่าช้าออกไป: ฟิทช์เชื่อว่าการปรับลดอัตราส่วนหนี้สินของ PTTGC จะมีความล่าช้าออกไป เนื่องจากการเข้าซื้อกิจการ Allnex Holding GmbH หรือ Allnex โดยใช้เงินจำนวน 4 พันล้านยูโรโดยอัตราส่วน FFO Net Leverage ของ PTTGC น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 3.3 เท่า ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 หลังจากการเข้าซื้อกิจการแล้วเสร็จ จาก 0.9 เท่า ณ สิ้นเก้าเดือนแรกของปี 2564 อัตราส่วนหนี้สินของ PTTGC น่าจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 2.6 เท่า ในปี 2565 และ 2.3 เท่าในปี 2566 เนื่องจากฟิทช์คาดว่า PTTGC จะใช้กระแสเงินสดสุทธิ (Free Cash Flow) ประมาณปีละ 2 หมื่นล้านบาท ในการชำระคืนหนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าว

อย่างไรก็ตามการปรับลดอัตราส่วนหนี้สินอาจมีความเสี่ยงหากมีการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่โดยใช้หนี้เพิ่มขึ้น ความตั้งใจของบริษัทในการเข้าซื้อกิจการได้เพิ่มขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา

ตามเป้าหมายของบริษัทเพื่อเพิ่มสัดส่วนกำไรจากผลิตภัณฑ์เคมีที่มีมูลค่าสูง เป็นร้อยละ 35 ภายในปี 2573 (ในปี 2563 อยู่ที่ประมาณร้อยละ 10) สถานะทางเครดิตของบริษัทอาจอ่อนแอลง หากบริษัทใช้เงินในการเข้าซื้อกิจการในช่วงก่อนที่อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทจะปรับลดลงจนเพียงพอในการรองรับการเข้าซื้อกิจการดังกล่าว

– การกระจายตัวของผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น: การเข้าซื้อกิจการ Allnex สอดคล้องกับกลยุทธ์ของ PTTGC ในการเพิ่มการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง และการกระจายธุรกิจไปยังธุรกิจเคมีเกรดพิเศษ (Specialty Chemical) ซึ่งผลิตภัณฑ์และธุรกิจดังกล่าวมีเสถียรภาพมากกว่าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีแบบพื้นฐานในช่วงที่อุตสาหกรรมอยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากความต้องการของผลิตภัณฑ์ปลายทางมีความผันผวนที่ต่ำกว่า

ฟิทช์คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่ายภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากผลิตภัณฑ์เคมีที่มีมูลค่าสูง จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณร้อยละ 16-17 หลังจากการเข้าซื้อ Allnex จากระดับปัจจุบันที่ประมาณร้อยละ 10 ซึ่งทำให้สถานะทางธุรกิจปรับตัวดีขึ้น

นอกจากนี้ Allnex จะช่วยให้ PTTGC เข้าถึงลูกค้าในตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ PTTGC มียอดขายในระดับจำกัด และเพิ่มความแข็งแกร่งของสถานะทางการตลาดในภูมิภาคเอเชียที่มีความเข้มแข็งอยู่แล้ว

ฟิทช์เชื่อว่าการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะทำให้ EBITDA ของ PTTGC มีเสถียรมากขึ้น และเพิ่ม EBITDA margin ประมาณร้อยละ 1-2 Allnex เป็นบริษัทผู้ผลิต Resins ที่ใช้ในอุตสาหรรม Coating ชั้นนำของโลก โดยบริษัทมีผลิตภัณฑ์หลากหลาย และครอบคลุมอุตสาหกรรมจำนวนมาก

– กำไรที่ฟื้นตัว: ฟิทช์คาดว่า EBITDA ของ PTTGC จะปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มาอยู่ที่ระดับประมาณ 5.5 – 6.0 หมื่นล้านบาทต่อปี (ยังไม่รวมการเข้าซื้อกิจการ Allnex) ในปี 2564 และ 2565 จาก 1.6 หมื่นล้านบาทในปี 2563 ธุรกิจปิโตรเคมีแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส แต่ก็ได้รับผลกระทบในระดับที่ต่ำกว่าธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน โดยส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับตัวดีขึ้นอย่างมากในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 และเก้าเดือนแรกของปี 2564 (เก้าเดือนแรกของปี 2564 อยู่ที่ 4.9 หมื่นล้านบาท)

ฟิทช์คาดว่าการฟื้นตัวของธุรกิจปิโตรเคมี มีแนวโน้มที่จะต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี 2564 หลังจากกิจกรรมภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจมีการฟื้นตัว ฟิทช์คาดว่าค่าการกลั่นจะปรับตัวดีอย่างช้าๆ ขึ้นในปี 2564 จากจุดต่ำสุดในปี 2563

– ความสัมพันธ์กับ ปตท.และการสนับสนุนที่มากขึ้น: อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ PTTGC ที่ ‘AA+(tha)’ ได้มีการพิจารณารวมถึงการปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้นมาสองอันดับจากสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone credit profile) ของบริษัทที่ ‘aa-(tha)’ ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระดับปานกลางระหว่างบริษัท กับ บริษัทแม่ หรือ บมจ. ปตท.(PTT) (อันดับเครดิตที่ BBB+/AAA(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) EBITDA จากธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของกลุ่ม โดยมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 18 ของ EBITDA รวมของกลุ่ม ปตท. ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยสัดส่วนที่น้อยลงเนื่องจากผลการดำเนินงานของธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นในปี 2562 และปี 2563 อ่อนแอลง

นอกจากนี้ PTTGC ยังเป็นผู้รับซื้อวัตถุดิบที่เป็นผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีรายใหญ่ของ ปตท. และเป็นบริษัทปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดของ ปตท.

นอกจากวงเงินกู้ยืมจาก ปตท. จำนวน 7.4 หมื่นล้านบาท เพื่อสนับสนุนการเข้าซื้อกิจการ Allnex ครั้งนี้ ปตท.ยังตกลงที่จะขยายเทอมการชำระเงินสำหรับการซื้อน้ำมันดิบให้แก่ PTTGC เป็นไม่เกิน 90 วัน จาก 30 วัน เพื่อช่วยให้ PTTGC สามารถบริหารจัดการอัตราส่วนหนี้สินในช่วงที่มีการลงทุนสูง

ฟิทช์ได้ประมาณการว่า PTTGC จะมีความต้องการใช้เงินหมุนเวียนและหนี้สินลดลงประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท โดยประมาณการว่ามีการขยายเทอมการชำระเงินในปี 2565 และต่อเนื่องไปจนถึงอย่างน้อยปี 2567 การขยายเทอมการชำระเงินจะมีการพิจารณาเป็นรายปี และต่ออายุได้ตามข้อตกลงระหว่างกัน

– การผลิตที่ครบวงจรและต้นทุนการผลิตที่ต่ำ: PTTGC มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่ มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูง ส่งผลให้บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่มากกว่า และอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานที่สูงกว่า เมื่อเทียบกับผู้ผลิตปิโตรเคมีและน้ำมันอื่นๆ ในประเทศ นอกเหนือจากนี้ PTTGC ยังมีความได้เปรียบในเรื่องต้นทุนการผลิตเนื่องจากวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตโอเลฟินส์ คือก๊าซธรรมชาติซึ่งจัดหาได้จากภายในประเทศ และบริษัทยังได้รับประโยชน์จากการที่มีสัญญาการจัดหาวัตถุดิบระยะยาวกับ ปตท. ซึ่งช่วยลดความผันผวนของส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบได้

– ความผันผวนตามวัฏจักรของธุรกิจ: อันดับเครดิตของบริษัทถูกลดทอนจากความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์ตามวัฎจักรของธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ความผันผวนของส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ ค่าการกลั่น ราคาวัตถุดิบ ราคาน้ำมัน และความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียน ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อกำไรและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัท

นอกจากนี้ PTTGC ยังมีความเสี่ยงจากการพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบน้อยแหล่ง เนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตส่วนใหญ่มาจาก

ปตท. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท อย่างไรก็ตามความเสี่ยงจากการที่บริษัท รับวัตถุดิบส่วนใหญ่จาก ปตท.ได้ถูกบรรเทาลงจากการที่ ปตท. มีอันดับเครดิตที่แข็งแกร่งและเป็นผู้ดำเนินธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ในประเทศไทย

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ PTTGC ได้มีการพิจารณารวมถึงการปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้นมาสองอันดับจากสถานะเครดิตโดยลำพังของบริษัทที่ ‘aa-(tha)’ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระดับปานกลางระหว่างบริษัท กับ ปตท. โดย PTTGC เป็นบริษัทปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่ม ปตท. และเป็นตัวจักรสำคัญในการขยายธุรกิจปิโตรเคมีของ ปตท. โดยเห็นได้จากการที่ ปตท. ได้โอนธุรกิจปิโตรเคมีให้กับ PTTGC ในปี 2560

นอกจากนี้ PTTGC ยังได้รับผลประโยชน์จากสัญญาการจัดหาก๊าซธรรมชาติกับ ปตท. ซึ่งส่งผลให้บริษัทมีความได้เปรียบในเรื่องต้นทุนการผลิตและสัญญาการซื้อขายผลิตภัณฑ์กับ ปตท.ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับวัตถุดิบได้

สถานะเครดิตโดยลำพังของ PTTGC ที่ ‘aa-(tha)’ สะท้อนถึงขนาดธุรกิจและการผลิตปิโตรเคมีที่ใหญ่ของบริษัทรวมถึงต้นทุนการผลิตที่ต่ำ เนื่องจากการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี

สถานะทางธุรกิจของ PTTGC แข็งแกร่งที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทในธุรกิจการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีในประเทศไทยที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิต และมีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่งดังกล่าว PTTGC มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่าและมีการผลิตปิโตรเคมีที่มากกว่าเมื่อเทียบกับ บมจ. ไทยออยล์ (TOP) (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A+(tha); แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ) นอกจากนี้ PTTGC ยังมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่า TOP

PTTGC มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่าและมีการกระจายตัวของธุรกิจปิโตรเคมีที่มากกว่าเมื่อเทียบกับ บมจ. ไออาร์พีซี (IRPC)(อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A-(tha); แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) นอกจากนี้บริษัทยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่าและมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่ามาก

สมมุติฐานที่สำคัญ :

– ราคาน้ำมันดิบ (เบรนท์) ที่ราคา 63 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2564, 55 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2565 และ 53 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2566 โดยมีการปรับด้วยส่วนต่างราคาน้ำมันตามการซื้อน้ำมันดิบของ PTTGC;

– กำไรของธุรกิจโอเลฟินส์ ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2564 เนื่องจากการฟื้นตัวของความต้องการและปรับตัวลดลงในปี 2565 เนื่องจากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามากดดันส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับวัตถุดิบ

– ค่าการกลั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 2564 และ 2565 เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันในภาคการขนส่งปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

– การขยายเทอมการชำระเงินเพื่อซื้อน้ำมันดิบกับ ปตท. จาก 30 วันเป็น 90 วันในปี 2564 และหลังจากนั้น

– ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนรวมจำนวน 5 หมื่นล้านบาท ในปี 2564-2566

– จ่ายเงินปันผลร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิของงบการเงินรวม

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต

ปัจจัยบวก: แนวโน้มเครดิตอาจถูกปรับเป็นมีเสถียรภาพ หากอัตราส่วน FFO Net Leverage ลดลงไปอยู่ในระดับต่ำกว่า 2.5 เท่าภายในปี 2566 อย่างต่อเนื่อง และ ระดับความสัมพันธ์ในด้านการดำเนินงาน และความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ระหว่างบริษัท กับ ปตท. ที่เพิ่มสูงขึ้น

ปัจจัยลบ: – อันดับเครดิตอาจถูกปรับลด หากปัจจัยบวกข้างต้นไม่เกิดขึ้น ระดับความสัมพันธ์ในด้านการดำเนินงาน และความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ระหว่างบริษัทฯ กับ ปตท. ที่ลดน้อยลง

สภาพคล่องที่เพียงพอ: ฟิทช์มองว่า PTTGC มีสภาพคล่องที่เพียงพอสำหรับการชำระคืนเงินกู้จำนวน 3.9 หมื่นล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจากสิ้นเดือนกันยายน 2564 และการชำระเงินสำหรับการซื้อกิจการ Allnex จำนวน 1.5 แสนล้านบาท โดยสภาพคล่องของ PTTGC ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดจำนวน 1.2 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 ซึ่งรวมถึงเงินที่ได้รับจากการขายหุ้นของ บมจ โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A+(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) จำนวน 2.3 หมื่นล้านบาท, และวงเงินกู้ยืมจาก ปตท. จำนวน 7.4 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ฟิทช์คาดว่า PTTGC จะมีกระแสเงินสดสุทธิ (Free Cash Flow) ประมาณปีละ 1.8-1.9 หมื่นล้านบาทในปี 2564 และ 2565

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 พ.ย. 64)

Tags: , , , ,
Back to Top