นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ทุกภาคส่วนต้องเร่งปรับตัวให้สอดรับกับบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่ง สนค. ได้เล็งเห็นและตระหนักถึงความสำคัญของผลกระทบดังกล่าว จึงได้ดำเนินโครงการเชื่อมโยงภาคอุตสาหกรรมเกษตรและภาคอุตสาหกรรมของไทยสู่เศรษฐกิจและการค้ายุคใหม่ ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพการค้าและบริการเพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากไทย ปีงบประมาณ 2564
โดยศึกษาวิเคราะห์ ลงพื้นที่เก็บรวบรวมข้อมูล จัดประชุมกลุ่มย่อย และสัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานภาครัฐและผู้ประกอบการเชิงลึก ในสินค้าเป้าหมาย 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.ยาและยาชีววัตถุ 2.เครื่องมือแพทย์ 3.อาหารทางเลือก (โปรตีนจากจิ้งหรีด) และ 4.สมุนไพร เนื่องจากเป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพและมีแนวโน้มเติบโตในตลาดโลก ทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-curve) เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) ศูนย์กลางสินค้าเกษตรและอาหารคุณภาพของโลก รวมถึงแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG) ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก (Local Economy) ของไทย
ผลการศึกษา พบว่า 1.กลุ่มสินค้ายาและยาชีววัตถุ อุตสาหกรรมยาของโลกมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี ในช่วงระหว่างปี 2561-2568 อยู่ที่ 13.8% สำหรับอุตสาหกรรมยาของไทย ส่วนมากเป็นการนำเข้ายาและยาชีววัตถุจากต่างประเทศ เนื่องจากไทยยังขาดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการต่อยอดไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ โดยในปี 2563 การนำเข้าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มยารักษาโรคและป้องกันโรค มีมูลค่าอยู่ที่ 2,327.81 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่การส่งออก มีมูลค่าอยู่ที่ 444.80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดหลักคือประเทศในภูมิภาคอาเซียน
ดังนั้น แนวทางการยกระดับศักยภาพกลุ่มสินค้ายาและยาชีววัตถุเชิงพาณิชย์และการส่งออกนั้น หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ควรมีการปรับปรุงด้านโครงสร้างและกฎระเบียบให้เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยาและยาชีววัตถุ และเชื่อมโยงภาคการวิจัยและการผลิตให้ไปสู่ภาคการตลาดมากขึ้น และการสร้างเครือข่ายกับต่างประเทศเพื่อขยายตลาดส่งออก ตลอดจนการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
2. อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ พบว่า การเข้าสู่สังคมสูงวัย การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วย รวมทั้งนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร การท่องเที่ยวทางการแพทย์ ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี ทำให้ไทยมีโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ไทยยังไม่สามารถผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สำคัญได้ครบทุกประเภท เนื่องจากผู้บริโภคยังไม่มีความเชื่อมั่นในการใช้สินค้าไทย ผู้ผลิตและส่งออกส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาลงทุนในไทย และระบบนิเวศ (ecosystem) ยังไม่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์
ดังนั้น ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อยกระดับศักยภาพกลุ่มสินค้าเครื่องมือแพทย์เชิงพาณิชย์ จึงควรเร่งประชาสัมพันธ์สินค้าเครื่องมือแพทย์ของไทย และสร้างความเชื่อมั่นเครื่องมือแพทย์ไทยให้มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย ตลอดจนส่งเสริมด้านการตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ ส่งเสริมการอำนวยความสะดวกด้านข้อมูลและขั้นตอนด้านการรับรองมาตรฐานเครื่องมือแพทย์ให้แก่ผู้ประกอบการไทย และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
3. อาหารทางเลือก (โปรตีนจากจิ้งหรีด) หลาย ๆ ประเทศเริ่มให้ความสนใจกับโปรตีนจากแมลงอย่างแพร่หลาย เป็นโอกาสสำหรับไทยซึ่งมีการเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดในเชิงพาณิชย์ แต่ยังพบปัญหา 2 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่ การเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดที่ไม่ได้มาตรฐาน จึงเป็นอุปสรรคสำหรับการส่งออก และการไม่มีตลาดที่แน่นอน การบริโภคผลิตภัณฑ์แปรรูปยังไม่แพร่หลายนัก ส่วนตลาดในต่างประเทศ มาตรฐานและกฎระเบียบยังไม่ชัดเจนนัก และการบริโภคแมลงเพิ่งเริ่มเป็นกระแสจึงยังเป็นตลาดเฉพาะที่มีผู้บริโภคในวงจำกัด
ดังนั้น ภาครัฐจึงควรเร่งส่งเสริมการเพาะเลี้ยง/การผลิตที่ได้มาตรฐาน รวมถึงการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ตลอดจนการทำการตลาดทั้งภายในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ด้วยการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภค เพื่อเพิ่มความต้องการบริโภค
4. สินค้าสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ พบว่า อุตสาหกรรมสมุนไพรและผลิตภัณฑ์สมุนไพรโลก มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตลาดค้าปลีกสินค้าสมุนไพรขนาดใหญ่ของโลก ได้แก่ จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเยอรมนี สำหรับไทยก็เป็นหนึ่งในตลาดที่มีมูลค่าค้าปลีกสูงเช่นกัน โดยในปี 2563 มีมูลค่า 45,997.9 ล้านบาท ไทยยังมีโอกาสในการขยายการส่งออกได้อีกมาก โดยเฉพาะสารสกัดจากสมุนไพร ซึ่งเดิมส่วนใหญ่ส่งออกในรูปของวัตถุดิบหรือมีการแปรรูปขั้นต้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหาในการพัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรมสมุนไพร อาทิ การขาดความเชื่อมโยงระหว่างเกษตรกรและผู้ซื้อ และการขาดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ในการแปรรูป/ควบคุมคุณภาพ
ดังนั้น จึงควรส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงของอุตสาหกรรมสารสกัดสมุนไพรและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง มุ่งเน้นการสร้างองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการ รวมถึงจัดทำฐานข้อมูลและการกำหนดพิกัดศุลกากรสินค้าสมุนไพร เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 พ.ย. 64)
Tags: รณรงค์ พูลพิพัฒน์, สนค., สมุนไพร, อุตสาหกรรมยา, เกษตรกร