ประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐได้ลงนามบังคับใช้กฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Bipartisan Infrastructure Framework – BIF) วงเงินกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์แล้วเมื่อวานนี้ (15 พ.ย.) ซึ่งถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของปธน.ไบเดนที่สามารถรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งว่า เขาจะสร้างงานจำนวนหลายล้านตำแหน่ง และผลักดันสหรัฐให้สามารถแข่งขันกับจีนได้
กฎหมาย BIF ซึ่งรวมถึงงบประมาณการใช้จ่ายระยะเวลา 5 ปีวงเงิน 5.50 แสนล้านดอลลาร์นั้น ใช้เวลานานหลายเดือนก่อนที่จะผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส โดยกฎหมายฉบับนี้จะเปิดทางให้โครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของปธน.ไบเดนกลายเป็นรูปธรรม ซึ่งรวมถึงการสร้างถนน, สะพาน, การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และการสร้างเครือข่ายสถานีชาร์ตแบตเตอร์รี่รถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศ
“กฎหมายฉบับนี้จะทำให้ปี 2565 เป็นปีแรกในรอบ 20 ปีที่การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐขยายตัวรวดเร็วกว่าจีน” ปธน.ไบเดนกล่าวในพิธีลงนามบังคับใช้กฎหมาย BIF ที่ทำเนียบขาวเมื่อวานนี้
เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา ปธน.ไบเดนได้ประกาศการบรรลุข้อตกลงกับสภาคองเกรสเกี่ยวกับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐ โดยโครงการ BIF ดังกล่าว มีวงเงินรวม 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ และมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานในสหรัฐ
“โครงการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยสร้างงานหลายล้านตำแหน่งในสหรัฐ และจะช่วยให้โครงสร้างพื้นฐานของเรามีความทันสมัยมากขึ้น โครงการเหล่านี้จะสร้างระบบการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม น้ำประปาที่สะอาด มีเครือข่ายบรอดแบนด์ที่ครอบคลุม มีสาธารณูปโภคด้านพลังงานที่สะอาด และจะช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ซึ่งโครงการลงทุนเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในแผน American Jobs Plan ของผม” ปธน.ไบเดนเปิดเผยในวันดังกล่าว
ก่อนหน้านี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2564 ขึ้นสู่ระดับ 7% ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 4.6% โดยการปรับเพิ่มคาดการณ์ดังกล่าวเกิดจากสมมติฐานที่ว่า จะมีการบังคับใช้แผนการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานของประธานาธิบดีโจ ไบเดน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 พ.ย. 64)
Tags: สหรัฐ, สาธารณูปโภค, โครงสร้างพื้นฐาน, โจ ไบเดน