สมาคมธุรกิจสหรัฐมากกว่า 20 แห่งเรียกร้องให้รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลดภาษีศุลกากรสินค้าจีน เพื่อบรรเทาภาระของประชาชนชาวอเมริกัน ท่ามกลางแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น
บรรดาสมาคมธุรกิจซึ่งนำโดยสภาธุรกิจสหรัฐ-จีน (USCBC) ได้ยื่นจดหมายถึงนางแคเธอรีน ไท่ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) และนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 พ.ย.) โดยระบุว่า “มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรที่รัฐบาลประกาศใช้มาเป็นเวลาหลายปีนั้น ยังคงสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างหนักต่อภาคธุรกิจ, เกษตรกร, คนงาน และครอบครัวในสหรัฐ”
จดหมายดังกล่าวซึ่งลงนามโดยสมาคมธุรกิจอีก 24 แห่ง รวมถึงหอการค้าสหรัฐ, การประชุมโต๊ะกลมทางธุรกิจ, สหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติของสหรัฐ (NRF), สมาพันธ์สำนักงานฟาร์มแห่งอเมริกา (AFBF) และสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์นั้น ระบุว่า ผู้นำเข้าชาวอเมริกันได้จ่ายภาษีศุลกากรสินค้าจีนภายใต้มาตรา 301 ไปแล้วกว่า 1.1 แสนล้านดอลลาร์ โดยในจำนวนนี้ มีประมาณ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ที่ได้รับการประเมินในยุคของรัฐบาลปธน.ไบเดน
จดหมายดังกล่าวระบุว่า “ต้นทุนเหล่านี้เมื่อประกอบกับแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้ออื่น ๆ แล้ว ได้สร้างภาระอย่างมากแก่ภาคธุรกิจ, เกษตรกร และครอบครัวชาวอเมริกันที่พยายามฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19”
“เราเห็นด้วยกับความเห็นล่าสุดของรมว.คลังเยลเลน ที่ว่าภาษีศุลกากรมักจะทำให้ราคาสินค้าภายในประเทศสูงขึ้น ตลอดจนเพิ่มต้นทุนให้แก่ผู้บริโภคและธุรกิจต่าง ๆ เนื่องจากสินค้านำเข้ามีต้นทุนสูงขึ้น และเราเห็นด้วยที่ว่าการลดภาษีศุลกากรของสหรัฐและจีนอาจช่วยบรรเทาภาวะเงินเฟ้อได้” จดหมายดังกล่าวระบุ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลของปธน.ไบเดนดำเนินการยกเลิกภาษีศุลกากรสินค้าจีนในมาตรา 301
“นอกจากนี้ เรายังขอให้ท่านดำเนินการขยายขอบเขตการยกเว้นภาษีศุลกากรโดยทันที เพื่อเป็นการบรรเทาภาระของประชาชนชาวอเมริกันเพิ่ม”
จดหมายดังกล่าวระบุ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 พ.ย. 64)
Tags: USCBC, USTR, จีน, ภาษีศุลกากร, สหรัฐ, เงินเฟ้อ, โจ ไบเดน