นายดามพ์ สุคนธทรัพย์ ประธานกรรมการบริหาร และประธานกรรมการกำหนดกลยุทธ์และนโยบายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวผ่านงานสัมมนาออนไลน์ “Transformation ทางรอด SMEs” ว่า ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ทำให้สภาพแวดล้อมการดำเนินธุรกิจ สภาวะเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น จึงถึงเวลาที่ทุกภาคส่วนจะช่วยกันสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs สามารถเข้าถึงเงินทุนและโอกาสที่จะ Transform องค์กรโดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุค New Normal และ Next Normal ในระยะถัดไปได้มากขึ้น
นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ต้องตั้งอยู่บนความไม่ประมาท และวางแผนธุรกิจอย่างรอบคอบ โดยคาดการณ์ผลประกอบการทั้งในทางบวก และทางลบ มองให้รอบด้านว่าธุรกิจที่ดำเนินอยู่ สามารถปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นทิศทางของธุรกิจที่ดำเนินอยู่ คู่แข่ง และผู้บริโภค มีความเป็นไปได้ที่จะเติบโตในระยะสั้น หรือระยะยาว
ทั้งนี้ จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า ในไตรมาส 3/64 ธุรกิจ SMEs ปิดกิจการ 3,819 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 14,749 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม และร้านอาหาร ที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวลงของการบริโภคจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนให้ทุกภาคธุรกิจต้องเผชิญกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน จากเทคโนโลยีดิจิทัลซึ่งอาจกลายเป็นภัยเงียบ ที่ทำให้ธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างหนักจนต้องปิดกิจการในที่สุด หากเจ้าของกิจการมิได้เตรียมแผนรองรับหรือปรับตัวได้ทัน
ขณะที่การค้าออนไลน์ของโลกและหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น หลายธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ได้ปรับตัวมาขายสินค้าออนไลน์มากขึ้น เป็นความหวังของการฟื้นภาคส่งออก และเศรษฐกิจโดยรวม EXIM BANK มองเห็นทิศทางดังกล่าว จึงเร่งเดินหน้าภารกิจสนับสนุนการซ่อม สร้างอุตสาหกรรมใหม่ และขยายช่องทางหรือแพลตฟอร์มการค้าใหม่ภายใต้นโยบาย Dual-track Policy เพื่อแก้ปัญหาการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะสั้น และระยะยาวคู่ขนานกันไป
ในขณะเดียวกัน EXIM BANK ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และรูปแบบการดำเนินธุรกิจ อยู่เคียงข้างลูกค้า และพันธมิตร ในฐานะ “ธนาคารเพื่อการพัฒนา” ควบคู่กับการเป็น “ศูนย์บริการครบวงจรเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้าระหว่างประเทศให้แก่ SMEs” ตั้งแต่การ “ซ่อม” “สร้าง” “เสริม” เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับภาคธุรกิจ เสริมสร้างการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม ส่งเสริมการจ้างงาน กระตุ้นการลงทุน และการใช้จ่ายเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนในสังคม ซึ่งจะเชื่อมโยงสู่โลกดิจิทัลมากขึ้น
สำหรับบริการของ EXIM BANK เช่น แพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ EXIM Thailand Pavilion และบริการ EXIM Biz Transformation Loan อัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 2% ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 100 ล้านบาทต่อราย ผ่อนชำระนานสูงสุด 7 ปี เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยลงทุนเพิ่มเพื่อยกระดับประสิทธิภาพ และกระบวนการผลิต ขยายกำลังการผลิต รวมทั้งปรับปรุงระบบซอฟต์แวร์ดิจิทัล และบริการอื่นๆ ทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงิน เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้าระหว่างประเทศให้แก่ลูกค้า และผู้ประกอบการ กระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19 โดยเร็ว
“EXIM BANK พร้อมสนับสนุนให้เกิดธุรกิจใหม่และ Transform ธุรกิจที่ดำรงอยู่ให้สามารถก้าวผ่านปัญหาอุปสรรคและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ในกระบวนการทำงานเพื่อยกระดับศักยภาพในการแข่งขัน เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ สร้างยอดขายหรือรายได้เพิ่มมากขึ้น ตลอดจนบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของผู้บริโภคในยุค New Normal และ Next Normal ได้อย่างมีเสน่ห์และมีศิลปะ กล่าวคือ มีความคล่องตัว ยืดหยุ่น และปรับตัวได้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม”
นายรักษ์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 พ.ย. 64)
Tags: EXIM BANK, SMEs, ดามพ์ สุคนธทรัพย์, ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย, รักษ์ วรกิจโภคาทร