ศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ระบุว่าจะใช้เวลา 15 วันนับจาก 1 พ.ย.เพื่อประเมินผลของการผ่อนคลายมาตรการสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ครั้งล่าสุด และการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่ต้องกักตัวในเฟสแรก ก่อนจะพิจารณาว่าสมควรจะผ่อนคลายมาตรการเพิ่มเติมหรือไม่ รวมถึงการเปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ และคาราโอเกะด้วย
ขณะที่คาดว่าในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 64 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยราว 6 แสนคน และในปี 65 จะเพิ่มเป็น 10 ล้านคน ซึ่งคาดว่าจะมียอดการใช้จ่ายเฉลี่ย 5 หมื่นบาทถึง 1 แสนบาท/คน
พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการ ศปก.ศบค. กล่าวภายหลังการประชุมชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับแผนการเปิดประเทศต่อภาคเอกชนว่า ผู้ประกอบการได้สอบถามถึงมาตรฐานในข้อปฏิบัติของผู้ประกอบการร้านอาหารทั้งในกรุงเทพมหานคร (กทม.) และต่างจังหวัด ซึ่งวันนี้ได้แก้ปัญหาด้วยการจัดทีมเชิงรุกลงไปปรับปรุงร้านอาหารหรือสถานประกอบการให้ได้มาตรฐานทางสาธารณสุข หรือ SHA ส่วนร้านอาหารใดที่ผ่านมาตรฐาน SHA อยู่แล้ว ก็จะเพิ่มมาตรฐานให้ไปจนถึง SHA+ โดยกระทรวงสาธารณสุขจะร่วมกับ กทม.เข้าไปดำเนินการ เพราะ กทม.เป็นพื้นที่ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด รวมไปถึงจังหวัดนำร่องอื่นๆ ที่ประกาศเป็นพื้นที่ท่องเที่ยว
ทั้งนี้ ศปก.ศบค.ยืนยันว่าการผ่อนคลายให้สามารถนั่งดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้ถึง 21.00 น.ต้องปฏิบัติได้จริง ไม่มีการอะลุ่มอล่วย ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งหมด ต้องช่วยกันขอความร่วมมือให้สามารถปฏิบัติได้จริง เพราะหากควบคุมไม่ได้ก็อาจจะทำให้เกิดความเสียหาย และหากเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่าจำหน่ายเกินเวลาจะมีการตักเตือนก่อน หากยังไม่ปฏิบัติตามก็ต้องใช้กฎหมายเข้ามาดำเนินการ
อย่างไรก็ตาม ศปก.ศบค.จะมีการประเมินภาพรวมทั้งหมดอีกครั้งในอีก 15 วัน รวมถึงการเปิดผับบาร์ในพื้นที่นำร่องด้วย และถ้าได้รับความร่วมมืออย่างดีก็จะมีมาตรการผ่อนคลายเป็นระยะ ทั้งนี้ เกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินการผ่อนคลายจะดูในหลายปัจจัย ทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อ และคลัสเตอร์ต่างๆ การฉีดวัคซีน รวมถึงขีดความสามารถในการรองรับด้านสาธารณสุข
พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า จากการเปิดประเทศที่เริ่มตั้งแต่วานนี้ ยังพบปัญหาขั้นตอนบางอย่างเกิดขึ้นเล็กน้อยในการรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา ซึ่งทุกภาคส่วนที่มาร่วมประชุมได้ให้ข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไขปรับปรุงสิ่งที่จำเป็นต้องทำ เพื่อให้การเปิดประเทศเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและประชาชนปลอดภัย เศรษฐกิจสามารถเดินหน้า และผู้ประกอบการสามารถประกอบกิจการได้
สำหรับเป้าหมายในการขอความร่วมมือจากภาคเอกชนครั้งนี้ คือ ประชาชนจะต้องรักษามาตรการสาธารณสุข เน้นการป้องกันตัวเอง สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา รักษาระยะห่าง และทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยความระมัดระวัง และในส่วนของกิจการและกิจกรรมต่างๆ ก็ให้ใช้มาตรการของกระทรวงสาธารณสุข ในเรื่องของ COVID free setting คือการปรับปรุงสถานที่ให้ปลอดภัย เพื่อรองรับผู้มาใช้บริการ
พล.อ.สุพจน์ ย้ำว่า การเปิดประเทศไม่ดูเฉพาะเรื่องจำนวนนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว ซึ่งต้องคำนึงถึงภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมด้วย
ส่วนการเปิดเว็บไซต์เลียนแบบเว็บไซต์ทางการ Thailand Pass นั้น ที่ประชุมรับทราบปัญหาดังกล่าว จะเร่งตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งนี้ได้รับคำแนะนนำว่าให้สร้างช่องทางการสื่อสารหลักเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะและเร่งประชาสัมพันธ์ให้รับทราบด้วย
ด้านนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวภายหลังการประชุมว่า หากประเมินภาวะเศรษฐกิจหลังเปิดประเทศ คาดว่าในเดือน พ.ย.จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามา 3 แสนคน และเดือน ธ.ค. 3 แสนคน และปีหน้าคาดหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาตลอดทั้งปี 10 ล้านคน
นายสนั่น ยอมรับว่า เป้าหมายการเปิดประเทศจะส่งผลให้ห่วงโซ่ภาคภาคธุรกิจเติบโตได้อย่างเร็ว โดยตอนนี้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยต่างใช้เวลาพักนานขึ้น และเข้ามาใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น จากเดิมเฉลี่ยประมาณคนละ 5 หมื่นบาท ก็เพิ่มขึ้นเป็นคนละประมาณ 7 หมื่นถึง 1 แสนบาท ก็จะทำให้ได้นักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพสูงขึ้น
ส่วนการดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร นายสนั่น กล่าวว่า ภาคเอกชนได้ปฎิบัติมาตรการที่กำหนดไว้ คือดื่มถึงเวลา 21.00 น. โดยต้องรอการประเมินสถานการณ์อีก 15 วัน หากดีขึ้น ก็มีแนวโน้มขยายเวลาการดื่มถึงเวลา 22.00 หรือ 23.00 น.ตามปกติ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 พ.ย. 64)
Tags: lifestyle, ผ่อนคลายมาตรการ, ศบค., เปิดประเทศ