สิงคโปร์โต้ฮ่องกงกินบิสกิตปลอดภัย ไม่มีหลักฐานชี้ชัดสารประกอบก่อมะเร็ง

สเตรทส์ไทมส์.คอมรายงานว่า สำนักงานอาหารสิงคโปร์ (SFA) เปิดเผยแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ (29 ต.ค.) ระบุว่า บิสกิต และสินค้าอื่น ๆ ประเภททอด, อบ และคั่ว มีความปลอดภัยเมื่อรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ

SFA ออกแถลงการณ์ดังกล่าว หลังจากที่เมื่อต้นเดือนนี้ สภาผู้บริโภคฮ่องกงรายงานว่า พบสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งในตัวอย่างบิสกิต 60 รายการที่นำมาทดสอบ

รายงานดังกล่าวระบุว่า พบสารอะคริลาไมด์ (Acrylamide), สารไกลซิดิล แฟตตี เอซิด เอสเทอร์ (Glycidyl Fatty Acid Esters – GE) และสาร 3-MCPD เอสเทอร์ ซึ่งเป็นสารประกอบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่ออาหารผ่านการแปรรูปที่อุณหภูมิสูง และในภาวะที่มีความชื้นต่ำ

ขณะที่รายงานของฮ่องกงระบุว่าสารประกอบดังกล่าวเป็นสารก่อมะเร็ง แต่ทาง SFA เปิดเผยว่า สำนักงานเพื่อการวิจัยโรคมะเร็งระหว่างประเทศยังไม่พบหลักฐานที่แน่ชัดว่า สารประกอบดังกล่าวอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์

“สารประกอบเหล่านี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเมื่อผลิตภัณฑ์อาหารถูกแปรรูปที่อุณหภูมิสูงและความชื้นต่ำ” SFA ระบุ

“การผลิตบิสกิตและแครกเกอร์เกี่ยวข้องกับกระบวนการแปรรูปอาหารที่อุณหภูมิสูง และการใช้ส่วนผสมที่มีไขมันและน้ำมันที่ผ่านการกลั่น ดังนั้นจึงคาดว่า สารอะคริลาไมด์, สาร GE และสาร 3-MCPD เอสเทอร์ จะถูกตรวจพบในตัวอย่างบิสกิตและแครกเกอร์ที่ถูกทดสอบ”

สำหรับตัวอย่างบิสกิตที่ถูกทดสอบนั้นได้แก่ บิสกิตจากแบรนด์ทั่วไป เช่น ออรีโอ (Oreo), ริทซ์ (Ritz), จาคอบส์ (Jacob’s), จูลี่ส์ (Julie’s) และ ฮัปเส็ง (Hup Seng)

ด้านนายนูร์ ฮิชาม อับดุลลาห์ ผู้อำนวยการกรมสุขภาพของมาเลเซียเปิดเผยเมื่อวันพุธ (27 ต.ค.) ว่า ความเสี่ยงด้านสุขภาพจากสารก่อมะเร็งในส่วนผสมบางอย่างที่ใช้ในบิสกิตนั้น อยู่ในระดับต่ำ

เขาระบุเสริมว่า ขณะที่อะคริลาไมด์เป็นสารประกอบที่เกิดขึ้นระหว่างการแปรรูปอาหารหรือการผลิต แต่การผลิตก็สามารถควบคุมได้ด้วยการเลือกใช้วัตถุดิบ และกระบวนการที่เหมาะสม

SFA เปิดเผยด้วยว่า ขณะนี้ยังไม่มีมาตรฐานสากลที่ควบคุมขีดจำกัดสูงสุดของสารประกอบดังกล่าวในอาหาร

ด้านคณะกรรมาธิการโครงการมาตรฐานอาหาร (Codex Alimentarius Commission) ซึ่งเป็นองค์กรดูแลด้านความปลอดภัยของอาหารระหว่างประเทศ แนะนำให้บรรดาผู้ผลิตอาหารลดจำนวนสารประกอบเหล่านี้ลงให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดยที่ไม่กระทบห่วงโซ่อาหารซึ่งสิงคโปร์, นิวซีแลนด์, ออสเตรเลียและสหรัฐก็ได้ดำเนินการในแนวทางที่คล้ายกัน

SFA ระบุว่า จะยังคงติดตามสถานการณ์คืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับสารประกอบเหล่านี้ และตรวจสอบระดับของสารประกอบในห่วงโซ่อาหารเพื่อรับประกันความปลอดภัยให้กับผู้บริโภคสิงคโปร์

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ต.ค. 64)

Tags: , ,
Back to Top