บมจ.ดีสโตน คอร์ปอเรชั่น ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 842 ล้านหุ้น และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) หมวดธุรกิจยานยนต์ โดย บล.กสิกรไทย และบล.เกียรตินาคินภัทร เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
การเสนอขายหุ้นครั้งนี้แบ่งเป็นจำนวนไม่เกิน 301 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 10.02% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO และเป็นการเสนอขายหุ้นโดย Fitzroy Capital Group Limited และ Stanhurst Power Limited ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิม 270.50 ล้านหุ้น และ 270.50 ล้านหุ้น ตามลำดับ (เป็นจำนวนรวมกันไม่เกิน 541,000,000 หุ้น)
วัตถุประสงค์การระดมทุนเพื่อนำเงินไปชำระคืนเงินกู้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน และลงทุนในโรงงานใหม่ของบริษัทเพื่อขยายกำลังการผลิตและพัฒนาระบบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงรายจ่ายฝ่ายทุน รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจของบริษัท
ดีสโตนฯ เป็นหนึ่งในผู้ผลิตยางล้อชั้นนำมาตรฐานระดับโลกของประเทศไทย ตามข้อมูลของ Frost & Sullivan ในปี 63 บริษัทเป็นผู้ผลิตยางล้อสัญชาติไทยที่มีรายได้สูงที่สุด โดยผลิตและจำหน่ายยางล้อหลากหลายรูปแบบ เช่น ยางรถจักรยานยนต์และจักรยาน (Two-Wheel) ยางไบแอส (Bias Tire) สำหรับรถและเครื่องจักรที่ใช้ในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม ยางเรเดียลสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถบรรทุกขนาดเล็ก และยางรถบรรทุกและรถโดยสาร ทั้งภายใต้แบรนด์ของบริษัทเองและแบรนด์ของลูกค้า (Private Brand) ในตลาดต่างประเทศ
บริษัทยังผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนยางอื่น ๆ เช่น ยางรองล้อและยางรองขอบใน และผลิตภัณฑ์ในเชิงอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น ยางสังเคราะห์ที่ใช้ในกระบวนการผลิตสารเคมีเชิงอุตสาหกรรม
บริษัทมีเครือข่ายการขายและการจัดจำหน่ายขนาดใหญ่ทั่วโลก ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นยาวนานระหว่างบริษัทและตัวแทนจำหน่าย โดยบริษัททำการตลาดและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทย กลุ่มประเทศ CLM กลุ่มประเทศในทวีปอเมริกา กลุ่มประเทศ EMEA และกลุ่มประเทศ APAC ณ วันที่ 30 มิ.ย.64 สินค้าของบริษัทขายผ่านตัวแทนจำหน่ายกว่า 100 ประเทศทั่วโลก
สำหรับตลาดในประเทศ บริษัทขายสินค้าครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ยางรถจักรยานยนต์และจักรยาน (Two-Wheel) ยางเรเดียลสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล จนถึงยางรถบรรทุกและรถโดยสาร ภายใต้ชื่อแบรนด์ของบริษัท โดยตัวแทนจำหน่ายสินค้าช่องทาง Traditional Trade จะขายสินค้าแบรนด์ “Deestone” “D-master” และ “BLU HORSE” ขณะที่ช่องทาง Modern Trade จะขายสินค้าแบรนด์ “Deestone” และ “Thunderer”
ปัจจุบัน บริษัทมีโรงงาน 5 แห่งในประเทศไทย มีคลังสินค้า 20 หลัง และศูนย์กระจายสินค้า 8 แห่ง และมีความสามารถในการจัดเก็บวัตถุดิบรวมมากกว่า 27,200 ตัน และสินค้าที่ผลิตเสร็จแล้วมากกว่า 30,300 ตัน
ดีโสตน มีทุนจดทะเบียน 3,132 พันล้านบาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 2,705 พันล้านบาท โครงสร้างการถือหุ้น ณ วันที่ 15 ต.ค.64 มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็น กลุ่มครอบครัววงศาริยวานิช รวม 72.22% ซึ่งภายหลังเสนอขายหุ้น IPO จะลดสัดส่วนลงเหลือ 63.36% (ภายใต้สมมติฐานว่ามีการใช้สิทธิซื้อหุ้นส่วนเกินทั้งจำนวน) ส่วน Fitzroy Capital Group Limited ถือหุ้น 10% และ Stanhurst Power Limited ถือหุ้น 10% จะขายหุ้นออกทั้งสองราย
ผลประกอบการในช่วงปี 61-63 บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้า 18,077.3 ล้านบาท 18,487.7 ล้านบาท และ 18,914.1 ล้านบาท ตามลำดับ กำไรสุทธิ 836.3 ล้านบาท 1,788.7 ล้านบาท และ 2,993.8 ตามลำดับ
สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 64 บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้า 9,734.4 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 9,169.7 ล้านบาท ขณะที่กำไร 1,002.3 ล้านบาท ลดลงจาก 1,311.7 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีก่อน ปริมาณการขายรวมเพิ่มขึ้น 6.6% จาก 112,329 ตัน มาเป็น 119,788 ตัน
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ต.ค. 64)
Tags: IPO, SET, ดีสโตน คอร์ปอเรชั่น, หุ้นสามัญ, หุ้นไทย