BAY เผยกำไร 9 เดือนปี 64 โต 39.5% รับรายการพิเศษขายหุ้น TIDLOR, NPL 2.27%

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) และบริษัทในเครือ เผยผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 64 กำไรสุทธิจำนวน 27,409 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 19,655 ล้านบาท ดันสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดใหญ่เติบโต 4.4% และ 4.2% ตามลำดับ เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างต่อเนื่องผ่านหลายมาตรการเชิงรุก ตอกย้ำพันธกิจของธนาคารในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

กรุงศรียังคงให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนที่มีความเปราะบาง เพื่อช่วยลดความรุนแรงของผลกระทบจากโรคระบาด โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่สามที่ภาวะเศรษฐกิจอ่อนแรงลงอย่างชัดเจน ส่งผลให้ยอดสินเชื่อภายใต้มาตรการช่วยเหลือเพิ่มขึ้นเป็น 233,617 ล้านบาท นอกจากนี้ ธนาคารได้สนับสนุนโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดรวม 25,709 ล้านบาท ณ สิ้นเดือน ก.ย.64

สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 64 กำไรสุทธิจากการดำเนินธุรกิจปกติลดลง 2.2% หรือจำนวน 431 ล้านบาท จากช่วง 9 เดือนแรกของปี 63 ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง เป็นผลมาจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อหลายครั้งเพื่อบรรเทาภาระหนี้ของลูกค้า และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงการปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อเพื่อลูกหนี้รายย่อย

เมื่อรวมกำไรพิเศษจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นใน บมจ. เงินติดล้อ (TIDLOR) ในไตรมาส 2/64 ส่งผลให้ธนาคารมีกำไรสุทธิอยู่ที่จำนวน 27,409 ล้านบาท สำหรับช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2564 เป็นการเพิ่มขึ้น 39.5% จากช่วงเก้าเดือนแรกของปี 63

เงินให้สินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 1.2% หรือจำนวน 21,294 ล้านบาทจากสิ้นเดือน ธ.ค.63 ซึ่งเกิดจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของสินเชื่อ SME และสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่ 4.4% และ 4.2% ตามลำดับ สะท้อนความมุ่งมั่น และทุ่มเทของกรุงศรีในการช่วยเหลือลูกค้าผ่านหลายมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบ

เงินรับฝาก ลดลง 2.8% หรือจำนวน 51,564 ล้านบาทจากสิ้นเดือน ธ.ค.63 โดยส่วนใหญ่เกิดจากการบริหารจัดการสภาพคล่องเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพ และการเพิ่มสัดส่วนเงินรับฝากออมทรัพย์และจ่ายคืนเมื่อทวงถาม

ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 3.23% เทียบกับ 3.63% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 63 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อหลายครั้ง และการปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อเพื่อลูกหนี้รายย่อย

รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจำนวน 12,104 ล้านบาท หรือ 50.5% จากช่วง 9 เดือนแรกของปี 63 โดยปัจจัยหลักมาจากการบันทึกกำไรจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นเงินติดล้อ

หากไม่รวมรายการพิเศษจากการขายเงินลงทุนข้างต้น รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากการดำเนินธุรกิจปกติเพิ่มขึ้นจำนวน 1,377 ล้านบาท หรือ 5.7% จากช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2563

อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 42.1% ในไตรมาสสามปี 2564 จาก 43.0% ในไตรมาส 2/64 โดยเกิดจากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายของธนาคารท่ามกลางปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยืดเยื้อ และอยู่ที่ 43.0% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 64 เมื่อเทียบกับ 41.2% ในช่วงเดียวกันของปี 63

อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ 2.27% ณ สิ้นเดือน ก.ย.64

อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ ธนาคารยังคงรักษาระดับการตั้งเงินสำรองอย่างรอบคอบระมัดระวัง เพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเพิ่มขึ้นจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงทำให้อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 177.5% ณ สิ้นเดือน ก.ย.64

อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 18.46% จาก 17.92% ณ สิ้นเดือน ธ.ค.63

นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) กล่าวว่า การเติบโตของสินเชื่อเพื่อธุรกิจสะท้อนถึงความมุ่งมั่นและความทุ่มเทของกรุงศรีในการสนับสนุนลูกค้าผ่านหลายมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบ อาทิ การสนับสนุนเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ สินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูธุรกิจ และการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจไทยจะเผชิญความเปราะบางที่เพิ่มขึ้น แต่การเร่งฉีดวัคซีนทั่วประเทศที่มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคในช่วงต้นไตรมาสที่สี่ของปีนี้ ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ จะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นความต้องการสินเชื่อในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 กรุงศรีจึงคงเป้าหมายการเติบโตของเงินให้สินเชื่อในปีนี้ ในกรอบล่างของ 3-5%

ณ วันที่ 30 ก.ย.64 กรุงศรี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.85 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.78 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.49 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 291.72 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 18.46% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นของเจ้าของคิดเป็น 13.50%

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ต.ค. 64)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top