ธปท.มองศก.ไทยฟื้นช้าท่ามกลางความไม่แน่นอนสูง นโยบายการเงินยังต้องผ่อนคลาย

นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานประชุมนักวิเคราะห์ (Analyst Meeting) ครั้งที่ 3/64 ว่า เศรษฐกิจไทยอาจจะล้าหลัง จากการฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เมื่อมองไปข้างหน้า การทำนโยบายการเงินยังต้องเป็นแบบผ่อนคลาย แม้ว่าบริบทเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวปะทุขึ้น เห็นได้จากหลายประเทศ ทั้งสหรัฐ ยุโรป เริ่มมีการทบทวนการทำนโยบายการเงิน รวมทั้งประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่บางประเทศ เช่น ชิลี บราซิล มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้วก็ตาม

“การทำนโยบายการเงินของไทย ก็ไม่ได้ต่างจากธนาคารกลางหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งต้องพิจารณาจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เสถียรภาพระบบการเงิน และอัตราเงินเฟ้อ แม้หลายประเทศในโลกอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น แต่ของไทยคาดว่าจะทรงตัวอยู่ในขอบล่างของประมาณการ ไม่เป็นประเด็นเหมือนประเทศอื่นที่เร่งตัวขึ้นเร็ว ขณะที่การฟื้นตัวเศรษฐกิจปีหน้าดีขึ้น แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะดีแค่ไหน ดังนั้นเงื่อนไขในการทำนโยบายการเงิน จึงยังมีความแตกต่างกัน” นายปิติกล่าว

ด้านนายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวว่า ในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนนั้น ค่าเงินบาทยังมีความผันผวนสูง ซึ่งมาจากทั้งปัจจัยภายนอกประเทศ และปัจจัยภายในประเทศ โดย ธปท. จะเข้าไปดูแลค่าเงินทั้ง 2 ทาง และติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ค่าเงินผันผวนจนเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และจะให้ความสำคัญต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาคธุรกิจ โดยที่ผ่านมา จากการพูดคุยกับภาคธุรกิจก็มีการทำประกันความเสี่ยงจากค่าเงิน เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงินที่เพิ่มขึ้น

“ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง และในระยะต่อไปมีแนวโน้มผันผวนสูงขึ้น สอดคล้องกับสกุลเงินในภูมิภาค จากนโยบายการเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลัก ที่มีแนวโน้มทยอยลดการผ่อนคลาย” นายสักกะภพ กล่าว

น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารการสื่อสารองค์กร ธปท. เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 3/64 โดยคาดว่าในปี 2564 จะขยายตัว 0.7% ขณะที่ปี 2565 ขยายตัวได้ 3.9% แต่การฟื้นตัวก็ยังมีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง เพราะต้องขึ้นอยู่กับ 1.มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 2.ความต่อเนื่องของมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ และ 3.ปัจจัยจากต่างประเทศ ทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวและปัจจัยเสี่ยงจากภาคการส่งออก

สำหรับมาตรการด้านการคลัง รัฐบาลควรเร่งเยียวยาและพยุงเศรษฐกิจ รวมทั้งมาตรการฟื้นฟูและยกระดับเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า แม้ว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอาจปรับเพิ่มขึ้น แต่ไม่เป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังอย่างมีนัยสำคัญ หากเม็ดเงินนั้นถูกนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะปรับลดลงได้ในระยะยาว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ต.ค. 64)

Tags: , , ,
Back to Top