นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “นโยบายเศรษฐกิจจาก Pandemic สู่ Endemic” ว่า ที่ผ่านมาหลายประเทศมีการใช้จ่ายเงินอย่างมหาศาล และในส่วนของประเทศไทย ได้กู้เงินเพื่อแก้ปัญหาโควิด-19 รวมกว่า 1.5 ล้านล้านบาท เป็นการกู้เงินที่มากกว่าปกติ ส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะสูงขึ้น จึงจำเป็นต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจากเดิมที่กำหนดไว้ที่ 60% ต่อจีดีพี ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา เพื่อเปิดช่องให้รัฐบาลหากมีเหตุการณ์ยืดเยื้อต้องใช้เงิน กระทรวงการคลังก็สามารถกู้เงินให้รัฐบาลใช้เพื่อวัตถุประสงค์ของการป้องกัน ระงับการแพร่ระบาด และฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ได้
พร้อมมองว่า ในภาวะวิกฤติสิ่งสำคัญ คือ นโยบายการเงินและนโยบายการคลังต้องประสานกัน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ ใน 3 ระดับ คือ 1. ภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจระดับมหภาค ซึ่งเป็นบทบาทโดยตรงของนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง 2. ภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจระดับหน่วยธุรกิจ คือภาคเอกชน โดยต้องดูว่าจะทำอย่างไรให้เอกชนที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังอยู่รอดปลอดภัย มีภูมิคุ้มกัน ไม่ว่าจะเกิดเหตุอะไรก็ตาม และ 3. ภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจระดับประชาชน ที่เมื่อได้รับผลกระทบ ประชาชนยังมีรายได้เพียงพอประทังชีวิตในระดับหนึ่ง นอกเหนือจากการช่วยเหลือของภาครัฐ
นายอาคม กล่าวว่า ทั้ง 3 ระดับภูมิคุ้มกัน ยังโยงมาถึงปริมาณการใช้จ่ายของภาครัฐ สิ่งที่ต้องคิดต่อไปคือ วิธีการหารายได้ของรัฐ ซึ่งจะมาจากการปฏิรูปโครงสร้างการจัดเก็บรายได้ ที่ต้องคิดเรื่องนี้ว่าจะมีวิธีการอย่างไรให้ระดับรายได้ของรัฐมีความมั่นคง ทรัพยากรของรัฐต้องเพียงพอสำหรับอนาคต ขณะที่ภาครัฐและภาคธุรกิจต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่เข้าสู่ยุคปกติที่ไม่ปกติ ดังนั้นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องสำคัญ การดึงเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้มากขึ้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการทำธุรกิจแบบเดิมคงไม่ได้
นอกจากนี้ ต้องปรับตัวเพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ การสนับสนุนธุรกิจที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จึงเป็นเรื่องสำคัญ รวมทั้งการปรับโครงสร้างประชากร เพื่อก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยในอีก 10 ปีข้างหน้า ไทยจะมีจำนวนประชากรผู้สูงอายุพุ่งขึ้น 20-24% ของประชากรทั้งหมด
“ดังนั้นการลงทุนด้านการแพทย์ สาธารณสุข สุขภาพอนามัย เพื่อความยืนยาวของชีวิต การดูแลผู้สูงอายุเป็นเรื่องสำคัญ รวมถึงการสร้างการเติบโตผ่านเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ ๆ ได้แก่ การสนับสนุนการลงทุนในพื้นที่อีอีซี ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะต่อไป ทุกหน่วยงานต้องเข้ามาช่วยกันในเรื่องนี้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ทุกระดับมั่นใจว่า เศรษฐกิจไทยจะมั่นคงเพียงพอในการรับมือกับวิกฤติการณ์ต่าง ๆ ทั้งโควิด-19 วิกฤติการเงิน หรือวิกฤติจากภัยธรรมชาติในอนาคต”
รมว.คลัง กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ต.ค. 64)
Tags: กระทรวงการคลัง, อาคม เติมพิทยาไพสิฐ, เศรษฐกิจไทย