น.ส.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า สังคมไทยจะเป็นสังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ โดยตั้งแต่ต้นปี 2565 ประเทศไทยจะมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปสูงขึ้น 20% หรือประมาณ 14 ล้านคน จากจำนวนประชากรประมาณ 66 ล้านคน และในอีก 12 ปีข้างหน้า หรือปี 2576 ประเทศไทยจะเป็น “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด” โดยสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป จะสูงถึง 28% และประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปสูงถึง 20%
ขณะที่ประชากรที่เกิดระหว่างปี 2506-2526 กำลังจะกลายเป็นผู้สูงอายุ ปรากฏการณ์ “อัตราการเกิดที่ลดลงและผู้คนมีอายุยาวขึ้น” เกิดขึ้นทั่วโลก กำลังส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าการเข้าสู่สังคมสูงอายุนั้น จะเป็นปัญหาสำคัญของการพัฒนาประเทศในอนาคต เพราะรัฐบาลมีภาระจะต้องดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น ขณะเดียวกันความสามารถในการแข่งขันของประเทศก็จะลดลง เมื่อประชากรในวัยทำงานลดลงไป
ทั้งนี้ วช.กำลังดำเนินโครงการ “เปลี่ยนเกษียณเป็นพลัง” เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับการเข้าสู่สังคมสูงอายุ โดยนำผู้สูงอายุเกิน 60 ปีกว่า 6 หมื่นคนมาเข้าโครงการในปี 2564-2565 เพราะคนอายุเกิน 60 ปีหลายคน ยังมีความรู้ ความสามารถ มีประสบการณ์ มีทักษะที่จะมาถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับคนรุ่นใหม่ ขณะเดียวกัน ก็เป็นการสร้างโอกาสให้ผู้สูงอายุประกอบอาชีพได้ตามทักษะ รวมทั้งพัฒนาทักษะให้ผู้สูงอายุตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน และมีเป้าหมายจะขยายผู้สูงอายุให้เข้าโครงการในปี 2566 จำนวน 1 แสนคน
“ผู้สูงวัย” ไม่ใช่ภาระ เป็นเพียงการเปลี่ยนผ่านจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่งเท่านั้น แม้คนกลุ่มนี้จะมีกำลังวังชาที่ถดถอย แต่ก็มีประสบการณ์ที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศ ไม่น้อยกว่าคนรุ่นใหม่ ขณะที่ปัจจุบัน โลกนี้คือโลกของนวัตกรรมที่จะช่วยสร้างโอกาสให้ผู้สูงอายุในการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวก ผู้สูงวัยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ และช่วยเหลือตนเองได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ และนั่นหมายถึงการเปลี่ยนผ่านจากวัยเกษียณเป็นพลังแผ่นดินที่มั่นคง และมีความสุขได้ตามวัย”
น.ส.วิภารัตน์ กล่าว
นอกจากนี้ ได้มีการเตรียมนวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุ เช่น นวัตกรรมด้านการแพทย์ Telemedicine ที่ช่วยให้ผู้สูงอายุและบุคลากรทางการแพทย์สามารถพูดคุยได้แบบ Real time เช่นเดียวกับการสื่อสารผ่านระบบ VDO conference เพื่อแลก เปลี่ยนข้อมูลในการดูแลรักษาสุขภาพ ซึ่งมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือนวัตกรรมเตียงพลิกตะแคงไฟฟ้าพร้อมแอปพลิเคชันทางโทรศัพท์มือถือ เพื่อควบคุมเตียงแบบอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยให้ผู้สูงอายุติดเตียงได้รับการดูแลตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกในการป้องกันการเกิดแผลกดทับที่ต้องพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมง และยังสามารถลดการทำงานของผู้ดูแล ผู้ป่วยได้
หรือนวัตกรรมด้านทันตกรรมผลิตภัณฑ์กลาสเซรามิกชนิดไมกา ที่มีความทนทาน และมีสีใกล้เคียงกับฟันจริง เพื่อให้ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยสามารถเข้ารับการรักษาได้ ยังมีนวัตกรรมที่ช่วยด้านการดูแลช่วยเหลือผู้สูงอายุ อย่างเก้าอี้ย้ายตัวจากเตียงเพื่อการขับถ่ายและอาบน้ำ และอุปกรณ์ย้ายตัวจากรถยนต์สู่รถเข็น และนวัตกรรมที่ช่วยให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างอิสระ ช่วยเหลือตนเองได้ เช่น มอเตอร์ ไซค์สามล้อไฟฟ้าสำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการทางการเคลื่อนไหว โดยใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน สามารถชาร์จไฟได้ที่บ้านหรือสถานีชาร์จไฟฟ้า ถือเป็นการสร้างโอกาส ให้ผู้สูงอายุและผู้พิการได้รับโอกาสในการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวก สามารถเดินทางได้ตามความต้องการ
น.ส.วิภารัตน์ ระบุอีกว่า ที่สำคัญ วช.ได้สนับสนุนทุนวิจัยและนวัตกรรมในประเด็นต่างๆ สำหรับผู้สูงอายุ อาทิ การเตรียมความพร้อมก่อนสูงวัย เช่น นวัตกรรมเพื่อการออมและการลงทุน การเตรียมความพร้อมด้านกายภาพและสิ่งแวดล้อม เช่น นวัตกรรม Smart Community ที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุและคนพิการ และการปรับปรุงบ้านให้กับผู้สูงอายุ สอดคล้องกับภูมิศาสตร์และภูมิสังคม Universal Design ที่พัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุให้ยังคงมีสุขภาพที่ดี มีความมั่นคง ปลอดภัย เป็นต้น
“ต้องคิดนอกกรอบ และเปลี่ยนมุมมองจากเดิมที่เห็นคนสูงวัยเป็นภาระของสังคม โดยคิดใหม่ว่า คนสูงวัยคือธรรมชาติ เป็นโรคชนิดหนึ่งที่สามารถปรับปรุงแก้ไขให้แข็งแรงอายุยืนยาวได้ พร้อมเปลี่ยนผู้สูงวัยให้เป็นพลังของแผ่นดินในการสร้างเศรษฐกิจมีรายได้ มีสุขภาพดี” น.ส.วิภารัตน์ ระบุ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ต.ค. 64)
Tags: ผู้สูงอายุ, วิภารัตน์ ดีอ่อง, สังคมสูงวัย, สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ