แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยเช้ารีบาวด์ตามตปท.หลังเมอร์คจะยื่นขอใช้ยาต้านโควิด-Bond yield ชะลอ

นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้รีบาวด์ตามตลาดต่างประเทศ โดยตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่แกว่งกบวก ตามตลาดสหรัฐฯ หลัง”เมอร์ค แอนด์ โค” ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ เตรียมยื่นเรื่อง FDA ขออนุมัติใช้ยาตัวใหม่”โมลนูพิราเวียร์”ในกรณีฉุกเฉิน และ Bond yield ชะลลงต่ำกว่า 1.5% ส่งผลดีต่อการลงทุน ส่วนบ้านเราสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น ผู้เสียชีวิตต่ำกว่า 100 รายต่อวัน และราคาพลังงานแพงมาก โดยราคาสินค้าโภคภัณฑ์ขึ้นต่อเนื่องน่าจะช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ได้ด้วย จับตาการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสวันนี้ พร้อมให้แนวรับ 1,592-1,593 แนวต้าน 1,610-1,620 จุด

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะรีบาวด์ขึ้นได้ เช่นเดียวกับตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนบวก โดยตลาดหุ้นเกาหลี และจีนที่ปิดทำการ ตามตลาดสหรัฐฯ หลังจากที่มีความหวังในยาตัวใหม่ของ “เมอร์ค แอนด์ โค” ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ ที่เตรียมยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) เพื่อขออนุมัติการใช้ยาตัวใหม่ โมลนูพิราเวียร์ (molnupiravir) ในกรณีฉุกเฉิน หลังการทดลองทางคลินิกได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจ ซึ่งช่วยหนุนภาพของการฟื้นตัว

นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) อายุ 10 ปี ของสหรัฐฯได้ชะลงตัวมาอยู่ที่ 1.46% จากก่อนหน้านี้ทะลุ 1.5% ทำให้เป็นผลดีต่อการลงทุน

ส่วนปัจจัยในประเทศมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ดีขึ้นต่อเนื่อง ยอดผู้เสียชีวิตลงต่ำกว่า 100 รายต่อวัน และราคาน้ำมันดิบก็ยังปรับตัวขึ้นด้วย อีกทั้งราคาพลังงานตอนนี้ถือว่าแพงมาก โดยราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างบวกต่อเนื่อง ทำให้หุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์น่าจะได้รับผลดีไปด้วย

อย่างไรก็ดี ให้ติดตามการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสในวันนี้ และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของทั่วโลกที่จะทยอยออกมา รวมถึงตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาในวันศุกร์นี้

พร้อมให้แนวรับ 1,592-1,593 จุด ส่วนแนวต้าน 1,610-1,620 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

– ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (1 ต.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,326.46 จุด เพิ่มขึ้น 482.54 จุด (+1.43%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,357.04 จุด เพิ่มขึ้น 49.50 จุด (+1.15%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,566.70 จุด เพิ่มขึ้น 118.12 จุด (+0.82%)

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 273.4 จุด และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 96.96 จุด ส่วนตลาดหุ้นจีนปิดทำการวันนี้ (4 ต.ค.) เนื่องในวันชาติ

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (1 ต.ค.)1,605.17 จุด ลดลง 0.51 จุด (-0.03%)

– นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,609.54 ล้านบาท เมื่อวันที่ 1 ต.ค.64

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (1 ต.ค.) ปิด 75.88 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 85 เซนต์ หรือ 1.1%

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (1 ต.ค.) อยู่ที่ 6.35 ดอลลาร์/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 33.65 อ่อนค่าจากสัปดาห์ก่อน คาดกรอบวันนี้ 33.55 – 33.75 ตลาดยังไร้ปัจจัยใหม่

– กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเล็งเก็บเงินนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยคนละ 500 บาท เริ่มต้นปี 2565 นำมาประเดิมตั้งกองทุนส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย 5,000 ล้านบาท ใช้พลิกโฉมและปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย

– คลังเปิดยอดหนี้ประเทศ ณ สิ้นเดือน ส.ค.2564 พุ่งทะลุ 9 ล้านล้านบาท คิดเป็น 57.01% ต่อจีดีพี ขยับเพิ่มจากเดือนก่อนหน้า 2.5 แสนล้านบาท หลังประเมินสิ้นปีงบประมาณ 2564 หนี้สาธารณะอยู่ที่ 58.88% ต่อจีดีพี โดยก่อนหน้านี้รัฐบาลสั่งขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็น 70% ต่อจีดีพี

– นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 12 ต.ค.64 เป็นต้นไป สหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย ประกอบด้วยสมาชิก 5 ประเทศ คือ รัสเซีย เบลารุส คาซัคสถาน อาร์เมเนีย และคีร์กีซสถาน ได้ประกาศตัดสิทธิทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (จีเอสพี) ให้กับประเทศกำลังพัฒนา 74 ประเทศรวมถึงไทยด้วย หลังมีระดับพัฒนาทางเศรษฐกิจสูงเกินเกณฑ์ที่กำหนด โดยไทยอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับสูง ส่งผลให้สินค้าที่ไทยเคยได้รับสิทธิ ต้องกลับไปเสียภาษีนำเข้าในอัตราปกติ หลังจากที่ผ่านมาสินค้าไทยจะได้รับการลดภาษีถึง 25% ของภาษีทั่วไป

– ธนาคารพาณิชย์อยู่ในช่วงการปรับตัวครั้งใหญ่ ในบริบทการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีหรือ “เทคโนโลยีดิสรัปชั่น” มาตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19

หุ้นเด่นวันนี้

– ERW (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า IAA Consensus 3.60 บาท ได้ Sentiment บวกจากข่าวบริษัท Merck เตรียมยื่น FDA เพื่อใช้ยาโมลนูพิราเวียร์รักษาโควิด-19 ส่วนในประเทศได้ประโยชน์มากสุดจากมาตรการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 และทัวร์เที่ยวไทย

– AOT (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 64 บาท ไทยเริ่มเปิดเมืองทั้งกรุงเทพและจังหวัดต่างๆในเดือน พ.ย. การเดินทางในประเทศเริ่มคึกคัก ปีหน้าจ่อเปิดประเทศ รายได้ AOT ฟื้น และ AOT เตรียมการให้เอกชนเข้าพัฒนาพื้นที่รอบสนามบิน หลังกระทรวงการคลังเห็นชอบขยายระยะเวลาการใช้ที่ดินราชพัสดุ อีก 30 ปี พร้อมประเมินผลการดำเนินงานปี 64-65 ขาดทุนที่ 1.5 หมื่นลบ. และ 4.6 พันลบ. ปี 65 จะขาดทุนน้อยลง ส่วนปี 66 ลุ้นกลับมามีกำไร

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ต.ค. 64)

Tags: , , ,
Back to Top