นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเดินหน้าขยายตลาดการค้า การลงทุนกับสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย (Eurasian Economic anion) ประกอบด้วย ประเทศรัสเซีย คาซัคสถาน เบลารุส อาเมเนีย และคีกีซสถาน โดยจะมีการประชุมคณะทำงานร่วมระหว่างไทยกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย (Eurasian Economic Commission: EEC) ครั้งที่ 2 แบบทางไกล ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ในวันที่ 27 ก.ย.นี้ โดยฝ่ายไทย มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไทยและกลุ่มประเทศยูเรเซีย ได้มีข้อตกลงความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายสนใจ รวมถึงการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน ผ่านกลไกคณะทำงานร่วม โดยในปี 2663 มูลค่าการค้ารวม ประมาณกว่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกหลักของประเทศไทย คือ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป เครื่องปรับอากาศ สินค้าหลักที่ไทยนำเข้า คือ น้ำมันดิบ เหล็กและผลิตภัณฑ์ ปุ๋ย ยาจำกัดศัตรูพืช สินแร่โลหะ เป็นต้น
นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการประชุมครั้งนี้ ท่าทีของประเทศไทย จะมุ่งเน้นไปที่ 1.การหาแนวทางเพื่อขยายการค้าและการลงทุนภายใต้สถานการณ์ โควิด-19 2.การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านนโยบาย กฏระเบียบด้านการค้าและการลงทุน เช่น การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายในประเทศที่เกี่ยวข้องของแต่ละฝ่าย มาตรการเยียวยาทางการค้า กฎระเบียบด้านศุลกากรและกฎระเบียบทางเทคนิคและมาตรการสุขอนามัย จะผลักดันความร่วมมือในสาขา อาทิ นวัตกรรมและการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล เกษตรอัจฉริยะ เศรษฐกิจชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว (BCG โมเดล) และความร่วมมือด้านยางพารา และ 3.ติดตามความคืบหน้าเรื่องการจัดทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) และกระบวนการจัดทำ FTA ของแต่ละฝ่าย
“รัฐบาลอยู่ระหว่างการศึกษา และเจรจาทำข้อตกลงการค้าเสรีกับหลายประเทศ เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุน โดยทุกเรื่องได้ดำเนินการอย่างรอบคอบและรับฟังข้อเสนอจากทุกภาคส่วน สำหรับการประชุมกับกลุ่มประเทศยูเรเซียในครั้งนี้ ผลลัพธ์จะนำไปสู่การยกระดับและกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจให้เป็นไปอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง เป็นช่องทางสำคัญในการผลักดันการนำไปสู่การเริ่มต้นเจรจาจัดทำ FTA ระหว่างกันในอนาคต”
นางสาวรัชดา กล่าว
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า คณะกรรมาธิการสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย หรือ EEC เป็นการรวมกลุ่มของ 5 ประเทศ ได้แก่ รัสเซีย คาซัคสถาน เบลารุส อาร์เมเนีย และคีร์กีซสถาน เพื่อมุ่งสู่การเป็นตลาดเดียวที่จะเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ เงินทุน และแรงงานระหว่างกันได้อย่างเสรี EAEU ถือเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพและโอกาสทางเศรษฐกิจ มีประชากรกว่า 180 ล้านคน และ GDP สูงกว่า 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (66.42 ล้านล้านบาท) รวมทั้งมีทรัพยากรธรรมชาติสำคัญ อาทิ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และแร่ธรรมชาติ มากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ปัจจุบัน EAEU มี FTA กับสมาชิกอาเซียน 2 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม และสิงคโปร์
ทั้งนี้ ในช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2564 การค้ารวมไทย-EAEU มีมูลค่า 1,831.31 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 25% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยไทยส่งออกไป EAEU มูลค่า 579.10 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 28% สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เป็นต้น และไทยนำเข้าจาก EAEU มูลค่า 1,252.21 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 23% สินค้านำเข้าสำคัญ เช่น น้ำมันดิบ ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ พืช แลผลิตภัณฑ์จากพืช และถ่านหิน เป็นต้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ก.ย. 64)
Tags: FTA, lifestyle, กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ, การค้าการลงทุน, การค้าเสรี, จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์, รัชดา ธนาดิเรก, สหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย, อรมน ทรัพย์ทวีธรรม