ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดดิ่งลงกว่า 400 จุด เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า ความเสี่ยงที่เอเวอร์แกรนด์จะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้นั้น อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจในภาคส่วนอื่นๆเป็นวงกว้าง นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่รัฐบาลสหรัฐจะปรับขึ้นภาษีนิติบุคคล รวมทั้งความกังวลที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เร็วขึ้น
- ณ เวลา 14.17 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ร่วงลง 432 จุด หรือ -1.25% แตะที่ 34,030 จุด
ราคาหุ้นไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของจีน ทรุดตัวลงกว่า 17% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นฮ่องกง เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า ความเสี่ยงที่เอเวอร์แกรนด์จะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้นั้น อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจในภาคส่วนอื่นๆเป็นวงกว้าง
ทั้งนี้ เอเวอร์แกรนด์ ยอมรับว่าบริษัทกำลังเผชิญปัญหาสภาพคล่อง และอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด นอกจากนี้ เอเวอร์แกรนด์ยังได้แจ้งระงับการซื้อขายหุ้นกู้ภายในประเทศของทางบริษัท ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าอาจปูทางไปสู่การปรับโครงสร้างหนี้ หรืออาจนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้
แลร์รี อดัม นักวิเคราะห์จากบริษัท Raymond James กล่าวว่า ตลาดถูกกดดันจากหลากหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงข่าวรัฐบาลจีนใช้มาตรการควบคุมภาคเอกชน, ความกังวลเกี่ยวกับเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ และความเป็นไปได้ที่สภาคองเกรสสหรัฐอาจให้การอนุมัติการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจากปัจจุบันที่ระดับ 21% เป็น 26.5% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
นักลงทุนจะจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 21-22 ก.ย.นี้ รวมทั้งจับตาการแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด เพื่อหาสัญญาณการปรับลดวงเงินในโครงการ QE และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์นี้ด้วย ซึ่งรวมถึงบริษัทไนกี้, เฟดเอ็กซ์ และคอสโค
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 ก.ย. 64)
Tags: ดาวโจนส์ฟิวเจอร์, ตลาดหุ้น, ภาษีนิติบุคคล, เอเวอร์แกรนด์