นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำเครือข่ายไล่ประยุทธ์(อ.ห.ต.) นัดหมายผู้ชุมนุมมาร่วมแสดงพลังขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปรากฎตัวปักหลักที่แยกอโศก เวลาประมาณ 16.00 ของวันนี้ โดยนายสมบัติ กล่าวว่า ภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี พรรคร่วมรัฐบาลยกมือไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทำให้เห็นแล้วว่า การเมืองไทยที่ใช้ระบบรัฐสภา เป็นลักษณะแบบพวกพ้องเอาผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง ประชาชนไม่สามารถพึ่งพาได้
“การโหวตของพรรคร่วมรัฐบาลเป็นการตบหน้าประชาชน ในฐานะที่เป็นผู้แทนราษฎร แต่ความเห็นแตกต่างจากราษฎร วันนี้จึงเป็นวันที่เราแสดงปฏิกริยาของการโหวตของรัฐบาล เราแสดงปฏิกริยาไม่ยอมรับและเราจะไม่ทน ก็เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสามเหลี่ยมดินแดง ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ยังอยู่ต่อไป ก็จะออกมาไล่ ออกมาทุกวัน”
เราจะมีกลยุทธ์ในการต่อสู้ โดยมี คาร์ม๊อบ หรือคาร์ม๊อบรีเทิร์น เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 เป็นข้อจำกัดอยู่มากที่จะให้ประชาชนเข้าร่วม ดังนั้น จะใช้การชุมนุผสมผสานกันระหว่างการใช้คนมาม๊อบตั้งเวที และคาร์ม๊อบ ซึ่งจะเชิญชวนให้คนที่เคยร่วมคาร์ม๊อบ ขับรถมาที่แยกอโศกและกดแตรยาวๆ แล้วกลับบ้าน หรือจะขับรถวนก็ได้ ทั้งนี้ จะนำคาร์ม๊อบจากจุดนอกเมืองเข้ามาในกรุงเทพ มาที่อโศก จะมาร่วมกิจกรรมคาร์ม๊อบด้วยกัน เป็นม๊อบลงถนนแบบนี้
ทั้งนี้ เราจะปักหลักแบบไม่พักแรม เพราะการพักแรมจะทำให้เกิดความอ่อนล้า แต่จะใช้เวลาแสดงกิจกรรมประมาณ 3-4 ชั่วโมงต่อวัน เหมาะสมแล้ว จะใช้กลยุทธ์แบบแฟลชม๊อบมาตอนเย็น หรือเป็นการใช้โมเดลที่สามเหลี่ยมดินแดง ตอนเย็นเจอกัน หัวค่ำก็กลับ โดยที่แยกอโศกก็จะเหมือนเป็นป้อมค่าย ก็จะมีการปราศรัย และระดมคาร์ม๊อบที่เคยเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก เข้ามาพื้นที่อโศก โดยจะเริ่มพรุ่งนี้ ซึ่งจะมีนายสมบัติเป็นแกนนำในพื้นที่แยกอโศกรับม๊อบที่เดินทางเข้ามา ส่วนนายณัฐวุฒิ จะไปรับมวลชนที่อยู่รอบนอกเมือง ที่จะจัดขบวนคาร์ม๊อบที่มาจากนอกเมืองเริ่มพรุ่งนี้เช่นกัน
“เราเรียกร้องประชาชนให้ออกมาร่วมกิจกรรม โดยคาร์ม๊อบยกระดับขึ้นทุกครั้ง แต่ด้วยไม่สามารถจอดรถได้หากจอดรถจะกระทบการใช้ชีวิตของผู้คน จึงให้มีการเคลื่อนย้ายไปได้ และมีที่แยกอโศกเป็นป้อมค่ายก็คิดว่ากลยุทธ์นี้ดีแล้ว”
ด้านนายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนมาประกาศจุดยืน ว่าเราไม่ได้ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในสภาผู้แทนราษฎร แม้จะมีการลงมติไว้วางใจตามระบบตามกติกา แต่ข้อเท็จจจริงที่เกิดขึ้นตลอดการใช้อำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจทำให้ยิ่งชัด ว่ากลไกรัฐสภาถูกเหยียบย้ำจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว ความขัดแย้งของรัฐบาลยังผลให้มีกระแสข่าวคนเป็นนายกรัฐมนตรีดิ้นหนีเอาชีวิตรอดทางการเมือง ถึงขั้นมีการใช้วิธีสกปกรกกันในสภาหรือไม่ เรื่องนี้ยังไม่ปรากฎพยานหลักฐานชัดแต่ตนเชื่อว่าประชาชนทั่วไปติดตามสถานการณ์เขารับรู้ได้ โดยเฉพาะ ตนเองที่มีพรรคพวกในรัฐสภา เชื่อตามกระแสข่าวที่ออกมา
ดังนั้นแม้พล.อ.ประยุทธ์จะกล่าวอ้างว่าผ่านความเห็นชอบจากสภาให้ทำหน้าที่ต่อ แต่สำหรับประชาชนวันนี้เรายืนยันว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีของเราตั้งแต่ต้นและอีกต่อไป เราจะประสานการต่อสู้เคลื่อนไหวชุมนุม หรือมีกิจกรรมแบบต่างๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อแสดงพลังขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ต่อไป
ทั้งนี้ ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ระบาด เรายังขยายตัวม๊อบได้ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ แต่เมื่อชวนพี่น้องออกมาแสดงพลังบนท้องถนน ความกังวลข้อห่วงใยเรื่องโรคระบาดยังเป็นปัจจัยหลักที่เราต้องเอามาพิจารณา ดังนั้นถ้าพล.อ.ประยุทธ์ ยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ เราก็จะออกมาไล่ แต่หลังจากวันนี้จะมีการปรับรูปแบบให้สอดคล้องกับสถานการณ์มากขึ้น
โดยตนจะนำคาร์ม๊อบจากจุดต่างๆ ขับมายังสี่แยกอโศก ตั้งแต่เวลา 4 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม รถที่มาแสดงพลังให้กดแตรยาวจะมีสติ๊กเกอร์มีธงสัญลักษณ์แจก เพื่อรอวันนัดใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เราจะเคลื่อนขบวนทั้งรถทั้งคนที่มีสัญลักษณ์แบบเดียวกัน ที่แสดงพลังแบบเดียวกัน และเชื่อมั่นว่าเป็นการแสดงพลังครั้งใหญ่ที่สุดอีกคร้ง โดยวันนัดใหญ่ขอเวลาก่อนนัดกัน
“นี่คือการต่อสู้ระหว่าง 2 ฝ่ายเพื่อรักษาอำนาจ นายกรัฐมนตรีดิ้นสุดชีวิต อย่างที่บอกว่าถึงขนาดมีกระแสข่าวการใช้กล้วย ดังนั้นเพื่อโค่นล่มอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ พวกผมก็จะพยายามสุดความสามารถเหมือนกัน อะไรที่เป็นปัญหาอุปสรรคก็ต้องก้าวข้าม อะไรที่เป็นจุดแข็งก็เอามาพัฒนาให้เหมาะสมกับสถานการณ์”
เหตุผลที่มาเคลื่อนคาร์ม๊อบ ผสมกับการปักหลักที่แยกอโศกเพราะสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ทำให้การรวมตัวเป็นอย่างจำกัด การเคลื่อนตัวของประชาชนในพื้นที่ต่างจังหวัดก็ทำไม่ได้ พี่น้องในกรุงเทพก็อยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม ซึ่งในแต่ละวันยังมีผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิตน่าวิตกกังวลอยู่ ดังนั้นการทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ที่แยกอโศก ส่วนการเคลื่อนขบวนรถยนต์ที่เห็นว่าเป็นการแสดงพลังได้มากที่สุด ณ ปัจจุบัน ก็มาทำกันอีกจนถึงวันหนึ่งเมื่อประเมินว่าทุกอย่างพร้อมก็จะเคลื่อนขบวนใหญ่ ให้เห็นอีกครั้งหนึ่งในเร็วๆนี้ โดยเริ่มทดลองกันตั้งแต่วันนี้ที่ทำต่อเนื่องทุกวันบนถนนเส้นนี้ ขณะเดียวกันก็ยังไม่รู้ว่ารัฐจะมีวิธีตอบโต้อย่างไร
“โดยประวัติศาสตร์การเมืองไทย การชุมนุมของประชาชนมันคงไม่ส่งผลถึงขั้นล้มรัฐบาลได้เหมือนที่ผ่านมา แต่เราเชื่อว่าครั้งนี้สถานการณ์ไม่เหมือนครั้งอื่นๆ ตรงที่การไม่ยอมรับอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ มันขยายตัวและเป็นกระแสสูงเพิ่มขึ้นตลอดเวลา แล้วเรายังเชื่อต่อว่าถ้าหากมุ่งมั่น ถ้าหากยืนหยัด ถ้าหากทำด้วยความมุมานะอดทน พลังเหล่านี้จะข้ามพ้นข้อจำกัดของโรคระบาด ออกมารวมตัวกันได้ เราจะทำกันอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้ประกาศว่าเมื่อไหร่เป็นวันเผด็จศึก เมื่อไหร่จะเป็นสงครามครั้งสุดท้าย แต่เราจะทำทุกวัน และจะขยายผลต่อไป”
นายณัฐวุฒิ กล่าว
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้รับการยอมรับแม้กระทั่งจากส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง แม้กระทั่งแกนนำพรรคพลังประชารัฐ กระแสข่าวความขัดแย้งภายในที่เกิดขึ้น ไม่มีทางเป็นไปได้เลยถ้าหากภาวะการนำของพล.อ.ประยุทธ์ยังคงเข้มแข็ง ถ้าเป็น 3 ปี 5 ปีที่แล้วไม่มีทางเกิดเหตุแบบนี้ แต่ที่เกิดขึ้นได้เพราะว่าภาวะการนำของพล.อ.ประยุทธ์ ถดถอยที่สุด และตนไม่เชื่อว่าหลังจากนี้ไป รัฐบาลโดยเฉพาะพลังประชารัฐ จะรักษาเสถียรภาพหรือเดินหน้าต่อไปด้วยความราบรื่น คนมันกินใจกันแล้ว เหยียบตาปลากันอย่างหนักแล้ว ขบวนการไหนในรัฐบาลที่มีกระแสข่าวเคลื่อนไหวที่จะโค่นล้มพล.อ.ประยุทธ์เท่ากับต้องหาข้อหาพยายามฆ่าทางการเมืองแล้ว แม้จะประคับประคองกันอย่างไรไม่สนิทใจกันอยู่ดี ยังคาดคะเนต่อไปว่า อาจมีความเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลในระยะใกล้ แล้วถ้ามีการเปลี่ยนแปลงจริงก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ในพรรคพลังประชารัฐ คุกกรุ่นมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้ เห็นว่าความสัมพันธ์ของ 3 ป.ที่กล่าวอ้าง ว่าหนักแน่นมั่นคง ถ้ามาดูกันจริงๆ ความเคลื่อนไหว 2-3 วันที่ผ่านมา มันจะเกิดขึ้นโดยลอดหูลอดตาพล.อ.ประวิตรไปได้จริงหรือ พล.อ.ประวิตรซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคซึ่งใกล้ชิดส.ส. ลูกพรรค มาโดยตลอดเพิ่งมาทราบจริงหรือที่มีความเคลื่อนไหวไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นเชื่อว่าเป็นรอยในใจ ก็ต้องตามดูว่าจะมีผลต่อไปอย่างไร
ดังน้นการแสดงพลังประชาชนแม้ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะล้มรัฐบาลได้ แต่สนิมเหล็กเกิดจากเนื้อในตน เมื่อมันเกิดรอยภายในแบบนี้แล้ว พลังของประชาชนอาจเป็นแรงหนุนส่งให้มีการเปลี่ยนแปลง
“ผมว่าอาการอักเสบในพรรคพลังประชารัฐน่าจะส่งผลเร็วๆนี้ พล.ประยุทธ์โดยธรรมชาติเป็นคนจุดเดือดต่ำ และเมื่อถูกลูบคมอย่างหนักแบบ 2-3 วันที่ผ่านมา ในใจผมคิดว่ายังนอนหลับแบบสงบๆไม่ได้ ขณะเดียวกันคนที่เป็นลูกพรรค และมีเหตุดังกล่าว จะเดินโดยไม่มีความเสียวสันหลัง ก็คงไม่ใช่ ภาวะการณ์แบบนี้เมื่อเกิดการผลัดหลงในอำนาจแล้ว เมื่อเกิดความไม่ไว้วางใจในเส้นทางอำนาจแล้ว ก็มีแต่คิดจะหักล้างกัน นี่เป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ที่มันเกิดขึ้นหลายยุคหลายสมัย คราวนี้เราจะได้เห็นอะไรแปลกๆนับจากนี้เป็นต้นไป อย่าลืม คะแนนพรรคเล็กที่โหวตไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ มีที่มาหรือไม่ มีใครหรือแนวคิดแบบไหน คะแนนเสียง 3 คะแนนไม่ไหลกลับ นี่เป็นสมการที่ผมเชื่อว่าฝ่ายพล.อ.ประยุทธ์ต้องการค้นหา”
นายณัฐวุฒิกล่าว
ในการชุมนุมบริเวณสี่แยกอโศกมีการแสดงบนเวที และช่วงค่ำก็มีการปราศรัยของบรรดาแกนนำ
ตัวแทนกลุ่มทะลุฟ้า ขึ้นปราศรัยถึงการทำงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี การจัดการควบคุมโควิด-19 ที่ล้มเหลว ผู้เสียชีวิตมากมายต้องจากไป วัคซีนที่ไม่สามารถต่อสู้กับโควิดสายพันธุ์เดลตาได้ ความผิดพลาดที่ก่อขึ้นก็ไม่ได้รับผิดชอบ แต่ภาระกลับมาตกอยู่ที่บุคลากรทางการแพทย์และด่านหน้า ไม่สามารถดูแลทุกข์สุขของประเทศได้ และการไว้วางใจรัฐบาลก็ไม่ได้มาจากเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนยังไม่เคยได้รับคำขอโทษจากรัฐบาล นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ที่มีราคาแพง ค่าแรงขั้นต่ำแทบซื้อไม่ได้ หน้ากากอนามัย รวมถึงสิ่งต่างๆ ในการป้องกันตัวเองจากโควิด ที่ต้องตกเป็นภาระของประชาชน พร้อมย้ำในช่วงท้ายว่าประชาชนจะสู้ต่อไป
นายสมบัติ กล่าวปราศรัยว่า ประชาชนไม่แพ้ เราจะออกมาทุกวัน โดยเห็นว่านายกรัฐมนตรีแพ้คะแนนโหวตของประชาชนบนท้องถนน แต่ในสภาผ่านเพราะได้แจกกล้วย หากเราสามารถรวบรวมพลังและไม่ย่อท้อ ไม่ยอมแพ้ เรายืดหหยัดอยู่ที่นี่ เพื่อปริมาณถึงจุดหนึ่ง ภาระทั้งหมดจะอยู่ที่พล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะเอาอย่างไร ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ไม่ออก ประชาชนก็ยังขับไล่ต่อไป เราจะชุมนุมที่นี่ยาวๆ แต่ไม่นอนค้างแรม ชุมนุม 3 ชั่วโมงแล้วก็กลับ ให้แต่ละคนสล้บกันมา โดยตั้งแต่วันพรุ่งนี้ จะมีคาร์ม๊อบเป็น 10ๆกิโล มาร่วมด้วย
ด้านนายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ประชาชนกำลังผิดหวังเครียดเหนื่อยหน่ายกับชีวิตกับบทละครดราม่าในสภา ฝั่งหนึ่ง 3 ป. อีกฝั่งเป็น 4 ช.เหมือนกับเอดส์กับมะเร็ง ในที่สุดก็ตกลงอยู่ต่อไป คนไทยเจอโควิดแล้วยังเจอเอดส์กับมะเร็ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้รอดจากการอภิปรายไม่วางใจ ด้วยความสามารถ ไม่ได้รอดด้วยผลงาน แต่ผ่านจากระยำตำบอนของระบบรัฐสภาที่มีการใช้กล้วยเป็นอาหาร ระบบรัฐสภาแบบนี้ที่กำลังกัดกินทำลาย พล.อ.ประยุทธ์ ผ่านมติไว้วางใจจากสภา แต่อย่านึกว่าจะมติไว้วางใจจากประชาชนทั่วประเทศไปได้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ก.ย. 64)
Tags: การเมือง, คาร์ม็อบ, ชุมนุม, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, ประยุทธ์ จันทร์โอชา, ม็อบ, สมบัติ บุญงามอนงค์