ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตามที่ ธปท.ประกาศมาตรการเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 20 ส.ค.64 สนับสนุนการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้อย่างยั่งยืน เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบให้กับลูกหนี้ได้มากขึ้นในสถานการณ์ที่ยังต้องเผชิญกับภาวะการระบาดของโควิด-19 โดยมาตรการเพิ่มเติมดังกล่าว ประกอบด้วย การรักษาสภาพคล่องและเติมเงินใหม่ให้กับลูกหนี้ SMEs และลูกหนี้รายย่อย รวมถึงมาตรการสนับสนุนการแก้ไขหนี้เดิมอย่างยั่งยืนนั้น ได้มีผลบังคับใช้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย.64
มาตรการรักษาสภาพคล่องและเติมเงินใหม่ให้กับลูกหนี้ SMEs และรายย่อย เพื่อให้สามารถหล่อเลี้ยงธุรกิจและเพียงพอต่อการดำรงชีวิต ได้แก่
1) การปรับปรุงหลักเกณฑ์สินเชื่อฟื้นฟูสำหรับผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ยืดเยื้อกว่าคาดและยังมีความไม่แน่นอนสูง เพื่อช่วยให้บางกลุ่มที่ยังไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อฟื้นฟู มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือมากขึ้น ได้แก่
1.1 ขยายวงเงินสินเชื่อให้แก่ SMEs ที่เดิมมีวงเงินสินเชื่อเดิมต่ำ หรือไม่มีวงเงินกับสถาบันการเงิน เพราะใช้เงินทุนส่วนตัวหรือรายได้ของบริษัทในการประกอบธุรกิจเป็นหลัก
1.2 เพิ่มการค้ำประกันและปรับลดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันให้กับลูกหนี้กลุ่มเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็น micro-SMEs และภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรง โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวและภาคบริการ เพื่อเอื้อให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อแก่ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางได้มากขึ้น
ทั้งนี้ สถาบันการเงินสามารถยื่นคำขอสินเชื่อฟื้นฟูมายัง ธปท. ตามหลักเกณฑ์ข้างต้นได้ตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย.64
2) การผ่อนปรนหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสินเชื่อลูกหนี้รายย่อยเป็นการชั่วคราว ในส่วนของบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ และสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล เพื่อลดภาระการจ่ายชำระหนี้ ตลอดจนเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกหนี้ที่มีความสามารถในการชำระหนี้ได้ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย.64 จนถึงสิ้นปี 65 โดย
2.1 ขยายเพดานวงเงินเป็น 2 เท่าของเงินเดือน สำหรับบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล กรณีผู้มีรายได้ ต่ำกว่า 30,000 บาท นอกจากนี้ สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล ผู้กู้สามารถขอสินเชื่อได้โดยไม่จำกัดจำนวนผู้ให้บริการ
2.2 คงอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตที่ถูกปรับลดลงในช่วงการแพร่ระบาดก่อนหน้าเหลือร้อยละ 5 ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2565
2.3 ขยายเพดานวงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลจากรายละไม่เกิน 20,000 บาท เป็น 40,000 บาท และขยายระยะเวลาการชำระคืนจากไม่เกิน 6 เดือน เป็น 12 เดือน
โดยมาตรการแก้ไขหนี้เดิมอย่างยั่งยืน เพื่อให้สถาบันการเงินช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบด้วยการปรับโครงสร้างหนี้แบบระยะยาวอย่างตรงจุด และเหมาะสมกับปัญหาของลูกหนี้แต่ละราย โดยกำหนดการจ่ายหนี้ให้สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลงมากของลูกหนี้ และทยอยจ่ายเพิ่มขึ้นเมื่อรายได้เริ่มกลับมา รวมทั้งต้องเร่งช่วยลูกหนี้ ให้ได้จำนวนมากและเร็ว โดย ธปท. ได้ผ่อนคลายหลักเกณฑ์การจัดชั้นและการกันเงินสำรองที่เกี่ยวข้องตามความเข้มข้นของความช่วยเหลือ เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ข้างต้น ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย.64
นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า มาตรการแก้ไขหนี้เดิม และเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกหนี้ SMEs และรายย่อย ถูกปรับให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นและสถานการณ์ที่ยืดเยื้อ เพื่อช่วยลูกหนี้ที่ยังได้รับผลกระทบหนักให้สามารถบริหารจัดการสภาพคล่องผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปได้ และต้องคำนึงถึงความเป็นธรรม ทั้งกับลูกหนี้และเจ้าหนี้ โดยไม่สร้างแรงจูงใจที่ไม่เหมาะสม (moral hazard) เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงได้อย่างมีประสิทธิผล
“ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจริง ก็ควรได้รับความช่วยเหลือในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ตามสถานะของลูกหนี้แต่ละราย ทั้งนี้ ธปท. จะร่วมกับสมาคมธนาคารไทย ในการเร่งรัดและติดตามการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบอย่างใกล้ชิด”
นายรณดลกล่าว
นายรณดล กล่าวว่า มาตรการปรับโครงสร้างหนี้จะต้องคำนึงถึง 4 ปัจจัยสำคัญ คือ 1.มองยาวถึงสถานการณ์ในอนาคต 2.ทำให้กว้างครอบคลุมลูกหนี้ที่มีปัญหา 3.ตรงจุดกับอาการของลูกหนี้ และ 4.เป็นธรรมทั้งกับเจ้าหนี้และตัวลูกหนี้ เช่น มีการกำหนดจ่ายหนี้แบบหน้าต่ำ เพื่อลดภาระให้กับลูกหนี้ โดย ธปท.ได้สั่งการให้สถาบันการเงินจัดทำรายงานดำเนินการช่วยเหลือลูกหนี้ว่าเป็นไปตามแนวทางที่คาดไว้หรือไม่
พร้อมมองว่า การพักชำระหนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์แล้ว เพราะเหมาะกับการแก้ปัญหากรณีเศรษฐกิจ shock ระยะสั้น และสถานการณ์กลับสู่ปกติเร็ว แต่การพักชำระหนี้ไปเรื่อย ๆ นอกจากจะไม่ทำให้ภาระหนี้ลดลงได้จริง แต่ยังทำให้ลูกหนี้มีความเครียดจากความไม่แน่นอน เสียเวลาในการติดต่อสถาบันการเงิน และสถาบันการเงินเจ้าหนี้ก็สิ้นเปลืองต้นทุนการบริหารจัดการด้วย
นายรณดล ยืนยันว่า ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยยังมีความเข้มแข็ง โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง สามารถรองรับผลกระทบจากการแพร่ระบาดต่อเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว และทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้และสนับสนุนความต้องการสินเชื่อได้
ทั้งนี้ มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้และการผ่อนปรนเกณฑ์การจัดชั้น ช่วยชะลอการด้อยลงของคุณภาพสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ ขณะที่ผลประกอบการปรับดีขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยหลักจากค่าใช้จ่ายกันสำรองที่ลดลง หลังจากการกันสำรองในระดับสูงในปีก่อน
โดย ธปท.ได้ดูแลให้ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ เสริมสร้างเงินกองทุนและเงินสำรองสูงมาอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือน ม.ค.63 ช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ธนาคารพาณิชย์มีการกันสำรองส่วนเกินจำนวนมากตามมาตรฐานบัญชีใหม่ (TFRS9) นอกจากนี้ ในปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ ก็ยังคงมีการตั้งสำรองเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้มีเงินสำรองเพียงพอสามารถรองรับการเสื่อมค่าของสินเชื่อรายย่อยที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จากวิกฤตโควิดนี้ได้ และยังสามารถส่งความช่วยเหลือให้แก่ลูกหนี้รายย่อยต่อไปได้
ปัจจุบัน ข้อมูลลูกหนี้ที่ได้รับการช่วยเหลือจากสถาบันการเงิน ณ สิ้นเดือน มิ.ย.64 มีลูกหนี้ที่อยู่ภายใต้มาตรการช่วยเหลือ จำนวน 5 ล้านบัญชี เป็นมูลหนี้ 3.29 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงิน 1.9 ล้านบัญชี ยอดหนี้ประมาณ 2 ล้านล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาที่มีลูกหนี้อยู่ในมาตรการสูงสุดเมื่อเดือน ก.ค.63 ที่มีลูกหนี้ในมาตรการจำนวน 12.52 ล้านบัญชี ยอดหนี้ 7.2 ล้านล้านบาท โดยส่วนใหญ่ลูกหนี้ที่ออกจากมาตรการสามารถกลับมาชำระหนี้ได้ ขณะที่ลูกหนี้ในมาตรการ ทยอยลดลงมาเป็นลำดับ
อย่างไรก็ดี ลูกหนี้ในมาตรการมีแนวโน้มเริ่มสูงขึ้นตั้งแต่ มิ.ย.64 จากสถานการณ์ระบาดของโรคโควิดที่รุนแรงขึ้น จนมีการล็อกดาวน์อีกครั้งในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา
ด้านนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ธนาคารสมาชิกพร้อมให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งรายย่อยและ SMEs ตามมาตรการเพิ่มเติมของ ธปท. ทั้งในเรื่องของการเพิ่มสภาพคล่อง หรือแนวทางการช่วยเหลือโดยการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อช่วยให้ลูกหนี้สามารถแก้ปัญหาในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน
ขณะนี้ เมื่อสถาบันการเงินรับทราบรายละเอียดของมาตรการต่าง ๆ ที่ ธปท.ประกาศออกมาแล้ว สถาบันการเงินแต่ละแห่งจะจัดทำทางเลือกการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้แต่ละกลุ่ม (Product program) ให้สอดคล้องกับปัญหาและสถานะของลูกหนี้ และติดตามดูแลช่วยเหลือลูกหนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ธนาคารยังเป็นกลไกสำคัญและมีกำลังไปช่วยลูกหนี้ที่ได้รับความเดือดร้อนได้อย่างเพียงพอและทั่วถึง และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ในระยะต่อไป
ทั้งนี้ ธนาคารได้รีบเตรียมความพร้อมภายใน รวมถึงสื่อสารพนักงานสาขา ซึ่งทางลูกหนี้สามารถติดต่อธนาคารเพื่อเริ่มเตรียมการเบื้องต้นก่อน
“ขณะนี้ ทั้งแผนการจัดหาวัคซีนที่ครอบคลุมประชาชนมากขึ้น แนวโน้มตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ค่อย ๆ ดีขึ้น แม้กระทั่งการส่งออกที่ได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจโลก ล้วนเป็นปัจจัยบวกที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงต่อไปนี้ ก็หวังว่าการแก้ปัญหาและช่วยเหลือลูกหนี้ในครั้งนี้จะทำให้ลูกหนี้กลับมายืนและทำธุรกิจได้ต่อไป”
นายผยงระบุ
โดย ธปท. และสมาคมธนาคารไทย มุ่งหวังว่ามาตรการที่ปรับใหม่นี้ จะทำให้ลูกหนี้ได้รับความช่วยเหลืออย่างตรงจุด ทันการณ์ และได้ผลจริงอย่างยั่งยืน สามารถรับมือกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์และผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ ดังนั้น ลูกหนี้ SMEs และรายย่อย ที่ต้องการเพิ่มสภาพคล่องและแก้ไขหนี้เดิม สามารถติดต่อผู้ให้บริการทางการเงินที่ใช้บริการอยู่เพื่อรับความช่วยเหลือได้แล้ว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ก.ย. 64)
Tags: ช่วยเหลือเอสเอ็มอี, ธนาคารแห่งประเทศไทย, ผยง ศรีวณิช, มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้, รณดล นุ่มนนท์, สมาคมธนาคารไทย