ราคา U พุ่ง 29.09% หรือเพิ่มขึ้น 0.32 บาท มาที่ 1.42 บาท มูลค่าซื้อขาย 2,209.70 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.12 น. โดยราคาเปิด 1.13 บาท ราคาขึ้นไปสูงสุด 1.43 บาท ราคาต่ำสุด 1.12%
ขณะที่ U-P (หุ้นบุริมสิทธิ์) ปรับตัวขึ้น 23.08% หรือเพิ่มขึ้น 0.24 บาท มาที่ 1.28 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,026.19 ล้านบาท โดยราคาเปิดที่ 1.05 บาท ราคาสูงสุด 1.34 บาท ราคาต่ำสุด 1.05 บาท
นายกวิน กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) เปิดเผยกับ”อินโฟเควสท์”ว่า บมจ.ยู ซิตี้ (U) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย (BTS ถือหุ้น 36.22%) ได้เปลี่ยนการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาดำเนินธุรกิจบริการทางการเงิน (Financial Service) ในปี 64 และในปี 65 คาดว่าจะกลับมามีกำไรและสามารถจ่ายเงินปันผลได้ โดยหุ้นบุริมสิทธิ (U-P) จะมีสิทธิรับเงินปันผลก่อนหุ้นสามัญ
นายกวิน กล่าวว่า U ได้ตัดสินใจยุติธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโรงแรม เนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้อนาคตธุรกิจท่องเที่ยวเปลี่ยนไป โดยเฉพาะในช่วง 3-5 ปีคงยังไม่ฟื้นตัวได้มาก เพราะปัจจุบันโควิด-19 ก็ยังระบาดอยู่และไม่รู้ว่าจบลงเมื่อใด นักท่องเที่ยวยังไม่กลับมาได้เร็ว และคาดว่าผู้คนจะมีกำลังซื้อน้อยลง จึงปรับเปลี่ยน U เข้ามาประกอบธุรกิจ Financial Service หลังจากกลุ่ม BTS ได้เริ่มไปบ้างแล้วผ่าน บมจ.วีจีไอ (VGI) อาทิ การใช้บัตร rabbit เนื่องจากมองว่าธุรกิจ Financial Service ที่มีโอกาสเติบโตได้เร็ว และมีมูลค่าการตลาดสูงมาก
“ผมว่า Financial Service ดีกว่าอสังหาฯ เติบโตได้เร็ว เค้กที่แบ่งกันก็เป็นเค้กก้อนใหญ่มาก เราคิดว่าดีกว่าเก็บโรงแรมไว้…หวังว่าปีหน้าเริ่มปันผลได้ถ้าเรามีกำไร”
นายกวิน กล่าว
ดังนั้น U จึงได้ตัดสินใจขายอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมที่มีอยู่ เบื้องต้นคาดว่าจะได้เงินเข้ามาราว 4 หมื่นล้านบาท และยังเหลือสินทรัพย์ที่จะขายออกไปอีก 2.6 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โรงแรม 2 แห่งในโปแลนด์ และกรุงปรากของเช็คโกสโลวาเกีย อาคารสำนักงานให้เช่าในอังกฤษ เป็นต้น คาดว่าจะใช้เวลาราว 2-3 ปีนี้ หลังจากได้ขายโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศไปแล้ว 1.4 หมื่นล้านบาท (คิดเป็น 35%) นำไปร่วมลงทุน บมจ.เจมาร์ท (JMART) และ บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) รวมจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท และลงทุนธุรกิจประกีนชีวิตใน บมจ.แอ๊ดวานซ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต (A LIFE) ในสัดส่วนถือหุ้น 75% จำนวน 2 พันล้านบาท
ขณะที่อสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ระยะยาว อาทิ อาคารสำนักงานให้เช่า และโรงแรมในประเทศ อาทิ รร.อีสติน ก็มีแผนจะจัดตั้งเป็นกองทรัสต์ (REITs) แล้วขายเป็นสินทรัพย์เข้ากอง REIT และบริษัทจะกลับเข้าไปถือกอง REIT สัดส่วน 20-30% เพื่อนำเงินไปลงทุน Financial Service ต่อไป
ส่วนโครงการธนาซิตี้ คงไม่ได้ขายออกไป เพราะเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ถือโดย BTS มาตั้งแต่เป็น บมจ.ธนายง ซึ่งขณะนี้ยังพอเลี้ยงตัวเองได้จากการบริหารสนามกอล์ฟ และโรงเรียนนานาชาติ เป็นต้น
นายกวิน คาดว่า U จะสามารถกลับมามีกำไรในปี 65 และสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลได้อีกครั้ง จากปี 64 ที่คาดว่าจะยังขาดทุน แต่ก็จะมีผลขาดทุนลดลง เพราะหยุดดำเนินกิจการโรงแรมแล้ว
อนึ่ง U แจ้งผลประกอบการไตรมาส 2/64 มีผลขาดทุน 448.73 ล้านบาท ส่วนปี 63 มีผลขาดทุน 6,610.75 ล้านบาท
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ก.ย. 64)
Tags: กวิน กาญจนพาสน์, บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์, ยู ซิตี้, หุ้นไทย