นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวเปิดญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม 2.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข 3.นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน 4.นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม 5.นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ และ 6.นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
โดยนายสมพงษ์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นบุคคลที่ไร้ภูมิปัญญา ไร้องค์ความรู้ ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ ไร้คุณธรรมจริยธรรม และไร้ความสามารถที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาล ผู้นำประเทศ ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินเกิดความล้มเหลว ผิดพลาดบกพร่องเสียหายอย่างร้ายแรงทุกด้าน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ทั้งในภาวะปกติและในภาวะวิกฤติ โดยกลับปฏิบัติ และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและไม่สุจริต มีพฤติการณ์ฉ้อฉล ทุจริตต่อหน้าที่ จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมาย
ขณะที่การหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังมีความล่าช้า เลื่อนลอย ไม่ทันกับการแพร่ระบาดของโรค การควบคุมโรคไร้ทิศทาง ผิดเป้าหมาย และแผนงาน และไร้ประสิทธิภาพ ส่วนการกู้เงินของรัฐบาลหมดไปกับการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ใช้จ่ายงบประมาณและเงินกู้ โดยไม่รักษาวินัยการเงินการคลัง อีกทั้งยังปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริต และแสวงหาประโยชน์ของบรรดานักการเมือง พวกพ้องอย่างกว้างขวางในหลายเรื่อง
นอกจากนี้ การบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของพล.อ.ประยุทธ์ ทำให้ประชาชนทุกข์ยากเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เศรษฐกิจของประเทศดิ่งเหว ดังนั้น หากปล่อยให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไปจะทำให้ประชาชนติดเชื้อ และเสียชีวิตมากยิ่งขึ้น และไม่มีหนทางที่จะหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ ประชาชนจะต้องทนทุกข์ทรมาน ทั้งจากโรคและการดำรงชีวิต บ้านเมืองจะไร้ซึ่งความสงบสุขร่มเย็น
ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ถือว่าขาดองค์ความรู้ ไร้ภูมิปัญญาและความสามารถในการกำกับดูแลงานด้านสาธารณสุข มีพฤติกรรมคุยโม้โอ้อวด ทุจริตต่อหน้าที่ ส่งผลให้การบริหารงานของกระทรวงสาธารณสุขล้มเหลว ผิดพลาดบกพร่องอย่างร้ายแรง รวมถึงการจัดหาวัคซีนเป็นไปอย่างล่าช้า ไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรค มุ่งเน้นแต่จะจัดหาวัคซีนลึกลับ อีกทั้งยังมุ่งแต่แสวงหาผลประโยชน์จากการจัดหาวัคซีนและการกระจายวัคซีน โดยมิได้คำนึงถึงประสิทธิภาพของวัคซีน ดังนั้น หากปล่อยให้ดำรงตำแหน่ง รมว.สาธารณสุขต่อไป จะทำให้การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
ส่วนนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ถือว่าเป็นคนไร้ภูมิปัญญา ไร้ความรู้ความสามารถที่จะบริหารราชการของกระทรวงแรงงาน ทำให้ผู้ใช้แรงงานได้รับผลกระทบทั้งระบบ จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย กระทำการอันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ส่อว่าจงใจและมีผลประโยชน์ทับซ้อน ปล่อยปละละเลยให้แรงงานต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย บกพร่องผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่ปล่อยปละละเลยให้เกิดคลัสเตอร์การติดเชื้อใหม่ในโรงงานรายวัน ความล้มเหลวจากการบริหารงานของนายสุชาติ ได้สร้างความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างมาก หากให้ดำรงตำแหน่งต่อไป ยิ่งจะสร้างความเสียหายอีกเป็นทวีคูณ
ด้านนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม มีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง มุ่งแต่แสวงหาและกอบโกยผลประโยชน์จากโครงการขนาดใหญ่ของหน่วยงานที่อยู่ในกำกับดูแล ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต เข้าบุกรุกครอบครองที่ดินของรัฐ เพื่อนำมาเป็นของตนและเครือญาติ ประพฤติตัวเสเพลไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมโรค ขาดจิตสำนึกรับผิดชอบ มุ่งแต่แสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของตน
หากปล่อยให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่อไป จะยิ่งสร้างความเสียหายแก่การบริหารราชการแผ่นดิน และผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนโดยรวม จนยากที่จะแก้ไขเยียวยาได้ และประพฤติตัวเสเพลไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมโรค ขาดจิตสำนึกรับผิดชอบ เข้าไปแหล่งอบายมุขจนเกิดการแพร่ระบาดของโรค
ส่วนนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ถือว่าการบริหารงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ล้มเหลวทั้งระบบ มีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เข้าไปมีส่วนได้เสียในการเรียกรับผลประโยชน์จากโครงการของหน่วยงานที่ได้กำกับดูแล สร้างความเสียหายแก่รัฐจำนวนมาก ไม่ปกป้องรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จงใจเบียดบังเอาทรัพยากรของชาติไปให้พวกพ้องตนเอง ปล่อยปละละเลยให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคในสัตว์ ขณะที่มาตรการชดเชยเยียวยาเกษตรกรไม่ทั่วถึงและเพียงพอ หากปล่อยให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไปจะเกิดความเสียหายแก่รัฐและเกษตรกรไม่หยุดยั้ง
และสุดท้ายนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีพฤติการณ์จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน ทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ใช้ตำแหน่งหน้าที่และสื่อของรัฐเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงและสร้างความแตกแยกในสังคม มุ่งประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ปฏิบัติตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี หากปล่อยให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่อไป ยิ่งจะทำให้สังคมเกิดความแตกแยกมากขึ้น
ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้นำที่ขาดความรู้ ความสามารถในการจัดการปัญหา บริหารประเทศอย่างไร้ระบบ ไม่มีศักยภาพในการเชื่อมโยงระบบงานที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดรักษา การฟื้นฟูเยียวยา การป้องกันดูแลประชาชนในทุกพื้นที่ของประเทศ และไม่มีทิศทางการพัฒนาชีวิตทางเศรษฐกิจในอนาคตให้กับคนไทย
“ในวันนี้ ประเทศไทยมาถึงจุดที่วิกฤตที่สุดอีกครั้ง แต่ไม่ใช่เพียงวิกฤตโรคระบาด แต่เป็นวิกฤตที่เลวร้าย รุนแรง และตอกย้ำความทุกข์ที่กดทับประชาชนไทยยิ่งกว่าโรคระบาด คือ วิกฤตผู้นำรัฐบาล”
นายสมพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ และพวกพ้อง ได้แสดงให้เห็นถึงความไม่โปร่งใส ไม่สามารถเปิดเผยข้อเท็จจริงของการจัดการงบประมาณในสถานการณ์เร่งด่วน ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน ทั้งในประเทศและในประชาคมโลกได้เห็นถึงศักยภาพในการกอบกู้วิกฤตครั้งนี้ แต่ในทางตรงข้าม กลับสะท้อนภาพการบริหารจัดการที่ล้มเหลว ไม่มียุทธศาสตร์และวิสัยทัศน์ในเชิงการป้องกันปัญหา
ซึ่งมีแต่การแก้ปัญหาผ่านคำแถลงการณ์ที่เอาแต่ตำหนิประชาชนทุกครั้ง และการบริหารงานด้วยปาก ที่คำพูดแบบเอาดีใส่ตัว โยนชั่วให้ประชาชน และความเป็นผู้นำหลงตัวเอง หวงอำนาจ ใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง จนไม่สามารถจัดการปัญหาใดๆ ให้คลี่คลายไปได้
ทั้งนี้ ในขณะที่ทั้งโลกเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ แต่ผู้นำรัฐบาลไทย ไร้ความสามารถที่จะเข้าใจและประเมินสถานการณ์วิกฤตโรคระบาด และผลกระทบต่างๆ ที่จะตามมา จนในที่สุดก็ไม่สามารถปกป้องประชาชนให้รอดปลอดภัยจากวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่ได้
นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหาแบบรวบอำนาจทั้งหมดไว้ที่ตัวเอง แต่ขาดความรู้ ความเข้าใจ ขาดความเห็นใจ และความใส่ใจที่จะรับฟังเสียงของประชาชน จึงมีสภาพผู้นำที่ขับเคลื่อนการทำงานด้วยการถูกด่าเท่านั้น และประชาชนต้องส่งเสียงก่นด่า เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชีวิตและครอบครัว
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า ประชาชนไทยรู้สึกสิ้นหวัง กับผู้นำที่ยังสามารถยิ้มย่องและจ๊ะจ๋าได้ตลอดเวลา แอบอ้าง สร้างภาพ เอาความดีปลอมๆ เข้าตัว ขณะเดียวกันก็กราดเกรี้ยว กล่าวโทษ โยนผิดให้ประชาชน ลดทอนคุณค่าของประชาชน ทั้งๆ ที่มีผู้คนในประเทศล้มตายเป็นใบไม้ร่วงอยู่ทุกวันอย่างน่าอนาถ ทั้งๆ ที่มีอำนาจมากล้นเหลือเกินที่สามารถช่วยเหลือผู้คนเหล่านั้นได้ เป็นการบ่งบอกว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้มีประชาชนอยู่ในใจแม้แต่น้อย
“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านจะยอมรับหรือไม่ กับการกล่าวหาว่าใจดำ ไร้หัวใจความเป็นมนุษย์ อีกทั้งยังโอหัง คลั่งอำนาจ ท่านคงไม่ยอมรับ แต่นี่เป็นคำที่อธิบายตัวตนท่านอย่างชัดเจนที่สุดในช่วงเวลานี้”
นายสมพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้ การแก้ปัญหาวิกฤติการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ล่าช้า ไม่ทันการ และไม่สามารถป้องกันความสูญเสียของประชาชนได้ และจากบริหารประเทศ ของพล.อ.ประยุทธ์ ทุกๆ 7 นาที มีคนไทยต้องตาย เพราะการบริหารจัดการสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ผิดพลาด ล้มเหลว ส่งผลต่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจวันละกว่า 8,000 ล้านบาท จากมาตรการล็อกดาวน์ที่ผิดพลาด และประเทศไทยยังติดอันดับรั้งท้ายของโลกในการบริหารจัดการปัญหาโควิด จนก่อให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตประชาชน และเศรษฐกิจของประเทศที่จะเกินเยียวยาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในข้อเท็จจริงหลังรัฐประหารได้ทำลายเศรษฐกิจของประเทศให้เสื่อมทรุดอย่างต่อเนื่อง ก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิดด้วยซ้ำ ประเทศไทยตกไปอยู่ในอันดับรั้งท้ายของกลุ่มอาเซียน กลายเป็นประเทศไม่มีอนาคต และเมื่อเกิดโรคระบาดโควิด ไทยกลายเป็นไม่กี่ประเทศในโลก ที่ GDP ติดลบได้ 2 ปีติดกัน สิ่งนี้ถ้าไม่ล้มเหลวในการบริหารจริงๆ ก็จะเกิดขึ้นได้ยากมาก และในปี 2563 เศรษฐกิจไทยตกต่ำมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และฟื้นตัวช้า รั้งท้ายประเทศอื่นในโลก
นอกจากนี้ รัฐบาลยังกู้เงินมากสุดในประวัติศาสตร์ แต่กลับนำเอามาใช้แบบไร้ประสิทธิภาพ ล้มเหลว มีการเยียวยาแบบหว่านแห ไม่ได้สร้างงานสร้างรายได้ให้พี่น้องประชาชน ล็อกดาวน์แบบเหมาเข่ง ไม่มีทิศทางในการเยียวยาภาคธุรกิจอย่างเหมาะสม การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำอย่างเชื่องช้า จนทำให้บริษัทต่างๆ ต้องปิดตัวลง ต้องล้มละลาย ต้องปลดแรงงาน จนทำให้อัตราการว่างงานในระบบประกันสังคมสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ส่วนภาคการเกษตร ที่ควรจะเป็นแหล่งค้ำจุนแหล่งสุดท้ายจากวิกฤตครั้งนี้ ก็กลับล่มสลายไปพร้อมๆ กับภาคส่วนอื่น เพราะความไร้สติปัญญาในการดูแลพืชผลการเกษตร สินค้าการเกษตรตกต่ำเป็นวิกฤตการณ์ ไร้ศักยภาพในการป้องกันการระบาดของโรคในสัตว์ ทั้งวัว ทั้งสุกร ล้มตาย เสียหายมหาศาล พี่น้องเกษตรกรทุกข์ยากแบบไม่เคยปรากฏมาก่อน ถือได้ว่าล้มเหลวในการจัดหาวัคซีนทั้งของคน และของสัตว์
นายสมพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลบริหารจัดการประเทศอย่างไร้องค์ความรู้ ไร้จริยธรรม และไร้ศีลธรรม เป็นรัฐบาลที่กล้าค้าความตาย มอบความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานให้กับประชาชนอย่างถ้วนหน้า โดยไม่รู้สึกละอายต่อสิ่งที่กระทำไป และตลอดช่วง 19 เดือนเศษที่ไวรัสโควิด-19 ระบาดเข้าสู่ประเทศไทย คนไทยติดเชื้อสะสมกว่า 1 ล้านคน และเกินหมื่นชีวิตที่ต้องจากครอบครัวไปโดยไม่มีโอกาสร่ำลา จึงอยากทราบว่านายกรัฐมนตรีไม่รู้สึกอะไรกับตัวเลขเหล่านี้บ้างหรือไม่
ทั้งนี้ การที่นายกรัฐมนตรีเคยบอกว่าไม่อยากเห็นคนเจ็บ คนตายข้างถนน ในขณะที่นายกรัฐมนตรียัง work from home ไม่เคยเดินลงมาจากหอคอยเพื่อมาร่วมทุกข์กับประชาชน ซึ่งการที่นายกรัฐมนตรีไม่อยากเห็นภาพเหล่านี้ เพราะไม่กล้าเผชิญความจริง นี่คือภาพความจริงที่สะท้อนถึงการบริหารที่ไร้สมองและไร้หัวใจ และถือเป็นผู้นำรัฐบาลที่ขี้ขลาดที่สุด
ในขณะที่การแก้ปัญหาวิกฤตโควิดตั้งแต่เริ่มต้น พล.อ.ประยุทธ์ กลับกล้าลุแก่อำนาจ ใช้ความเคยชินของตนเอง ยึดอำนาจการบริหารสถานการณ์โควิดจากกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ออกคำสั่งรวบอำนาจกฎหมายถึง 40 ฉบับ นำพวกพ้องเข้ามาบริหารสถานการณ์โควิดเข้ามาบริหารสถานการณ์วิกฤต จัดคนไม่เหมาะกับงาน จนทำให้ระบบสาธารณสุขของประเทศที่ได้ชื่อว่าเข้มแข็งที่สุดในอันดับต้นๆ ของโลก ต้องกลายเป็นระบบที่ล้มเหลว
จึงไม่น่าแปลกใจที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจล้นฟ้า แต่กลับบริหารล้มเหลวไม่เป็นท่า สร้างความเสียหายทั้งชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนมาจนถึงทุกวันนี้ สำหรับการควบคุมการแพร่ระบาดกลับล้มเหลว ทั้งขาดวิสัยทัศน์ ประมาท เลินเล่อ เชื่องช้า ไร้ทิศทาง ไร้การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
“ท่านและพวก มีความกล้าที่จะหลอกลวงประชาชนด้วยเฟคนิวส์ ที่สร้างขึ้นมา เพื่อสร้างภาพให้เห็นว่าทำได้แล้ว จัดการแล้ว แต่ประชาชนไม่ได้โง่เหมือนท่านและพวก คำพูดต่างๆ ของท่านและพวกที่ถูกบันทึกไว้ กลายเป็นหลักฐานกลับมาย้อนรอยให้เห็นความไม่จริงที่พวกท่านสร้างมาทั้งหมด ท่านไม่อายเหรอครับ”
นายสมพงษ์ กล่าว
นายสมพงษ์ ระบุว่า การระบาดทุกครั้งก็เกิดขึ้นจากความบกพร่องของรัฐมนตรีในคณะรัฐบาล ทั้งแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย บ่อนผิดกฎหมาย โดยเฉพาะในกรณีการระบาดระลอกล่าสุดจากคลัสเตอร์ทองหล่อ รัฐมนตรีในรัฐบาลที่ไร้สำนึกรับผิดชอบ จนเป็นต้นตอของการแพร่ระบาดครั้งใหม่ที่ส่งผลเสียหายอย่างรุนแรงจนถึงทุกวันนี้ รวมทั้งการปิดแคมป์คนงานที่หลักสี่ ซึ่งไร้การจัดการที่ดี ไร้การเตรียมแผนป้องกัน ได้ส่งผลให้เกิดปรากฎการณ์ระบาดแบบผึ้งแตกรัง ทำให้สายพันธุ์เดลตาระบาดออกไปทั่วประเทศ จนสร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่อง
ส่วนรื่องของวัคซีนที่ถือเป็นความหวังที่จะช่วยชีวิตประชาชน ช่วยฟื้นสถานการณ์วิกฤตการระบาด แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กลับบริหารวัคซีนได้บกพร่อง ย่ำแย่ ประมาท เลินเล่อ และสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อชีวิตประชาชน และระบบเศรษฐกิจ โดยที่รัฐบาลปฏิเสธที่จะสั่งซื้อวัคซีนให้หลากหลายชนิด หลากหลายยี่ห้อมาตั้งแต่แรก แต่กลับทุ่มหมดหน้าตักไปกับวัคซีนเพียงตัวเดียว ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีวัคซีนน้อยชนิดอันดับรั้งท้ายของโลก
รวมถึงยังปฏิเสธการเข้าร่วมโครงการ COVAX โดยอ้างเหตุผลต่างๆ ที่ย้อนแย้ง จนส่งผลให้ไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในภูมิภาคนี้ที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ แม้ในที่สุดเมื่อทนต่อเสียงก่นด่าของประชาชน และสถานการณ์ที่บีบคั้นไม่ได้ จึงกลับตัวจะเข้าร่วมโครงการ แต่เราช้ากว่าประเทศอื่นไปเป็นปี เสียโอกาสการได้รับวัคซีนไปหลายสิบล้านโดส
นอกจากนี้ รัฐบาลได้สั่งวัคซีนซิโนแวคมาเป็นวัคซีนหลักของประเทศ ทั้งๆ ที่ในช่วงนั้นยังไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นวัคซีนคุณภาพต่ำ และการระบาดของสายพันธุ์เดลตาได้ตอกย้ำความด้อยประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวค แต่รัฐบาลยังคงยืนยันจัดซื้อ โดยไม่สนใจคำคัดค้าน และคำถามที่เหตุใดวัคซีนประสิทธิภาพต่ำเช่นนี้ จึงมีราคาแพงกว่าวัคซีนอื่นที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงกว่า และเหตุใดรัฐบาลยังดึงดัน สั่งซื้อซ้ำซากอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์และมีข้อกังขาไปทั่ว จึงอยากทราบว่าคนในรัฐบาลมีผลประโยชน์ทับซ้อนที่มันใหญ่กว่าคุณค่าชีวิตของประชาชนหรือไม่
สำหรับการดูแลช่วยเหลือผู้ป่วย รวมทั้งผู้ด้อยโอกาสที่ดูแลตัวเองไม่ได้ กลายเป็นภาระที่อยู่บนบ่าอันเหนื่อยล้าของประชาชนด้วยกันเอง ที่ต่างช่วยกันตามกำลังที่มี ถือเป็นอีกภาพสะท้อนความล้มเหลวของรัฐบาลของท่าน
“ถ้ารัฐบาลของท่านทำเต็มที่แล้ว ได้ผลอย่างที่ประเทศและประชาชนกำลังเผชิญหายนะอย่างทุกวันนี้ รวมทั้งประชาชนต้องมาแบกรับภาระช่วยเหลือกันเองแบบนี้ …พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านควรพิจารณาตัวเอง ลาออกไปได้แล้ว”
นายสมพงษ์ กล่าว
นายสมพงษ์ กล่าวว่า ทั้งหมดที่กล่าวมา คือ ความล้มเหลวพังพินาศ เป็นอันตรายที่เกิดขึ้นกับประเทศที่เรารัก สาเหตุมาจากความบกพร่องทางสติปัญญาและอารมณ์ของผู้นำประเทศอย่าง พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ซึ่งได้อำนาจมาด้วยการล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จนถึงทุกวันนี้ ผลที่เกิดขึ้นชัดเจนและรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของชาติ
และนอกจากพรรคฝ่ายค้านทั้งหมด จะใช้เวทีสภาผู้แทนราษฎรอภิปรายข้อเท็จจริงในพฤติกรรมของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพวกวันนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ได้ร่วมกันแสดงเจตจำนงในรูปแบบต่างๆ ขอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่ง ตนจึงอยากชิญชวนให้พรรคร่วมรัฐบาลมาร่วมยืนยันเจตจำนงกับประชาชน ให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกด้วย
“พลเอกประยุทธ์ คือ ความอับอายของประเทศ ไม่ใช่ผู้นำของปัจจุบัน ที่จะแก้ปัญหาวิกฤตใดๆ ได้อีก ไม่ใช่ผู้นำของอนาคต ไม่ใช่ความหวังของลูกหลานของเรา เป็นได้เพียงสิ่งที่ไร้ค่าไร้ความหมาย ในความทรงจำของคนรุ่นต่อไปเท่านั้น ผมและคณะพรรคร่วมฝ่ายค้าน จึงไม่อาจให้ความไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ทำหน้าที่บริหารประเทศต่อไปได้”
นายสมพงษ์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 ส.ค. 64)
Tags: ประยุทธ์ จันทร์โอชา, พรรคเพื่อไทย, สภาผู้แทนราษฎร, สมพงษ์ อมรวิวัฒน์, อภิปรายไม่ไว้วางใจ