JMART ลั่นกำไร 3 ปีโตเฉลี่ย 50% หลังผนึก BTS ปลดล็อกฐานทุน-เดินหน้า Synergy

นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ มาร์ท (JMART) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทช่วง 3 ปีข้างหน้า (ปี 65-67) จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 50% ต่อเนื่องจากปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตราว 50% หลังจากที่กลุ่ม JMART ร่วมมือกับกลุ่มบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตแบบก้าวกระโดดแบบ J Curve ได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ กลุ่ม BTS ส่ง บมจ.วีจีไอ (VGI) และ บมจ.ยู ชิตี้ (U) เข้าลงทุนในบริษัทของกลุ่ม JMART ภายใต้วงเงินรวม 1.75 หมื่นล้านบาท โดยการลงทุนใน JMART นั้น VGI เข้าลงทุนในสัดส่วน 15% และ U จะเข้าถือหุ้น 9.9% ส่วน บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ที่ U จะเข้าถือหุ้น 24.9% คาดว่าจะทำรายการแล้วเสร็จในไตรมาส 4/64

“การร่วมเป็นพันธมิตรกับ VGI และ U ในกลุ่ม BTS ครั้งนี้ ถือเป็นการเติบโตครั้งสำคัญของกลุ่ม JMART โดยเราได้ผนึกกำลังร่วมกับผู้นำที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจด้าน Offline-to-Online (O2O) โซลูชั่นส์ ที่มีธุรกิจสื่อโฆษณา ธุรกิจบริการชำระเงิน และ ธุรกิจโลจิสติกส์ ผสานด้านความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น การร่วมเป็นพันธมิตรในครั้งนี้จะช่วยปลดล็อกฐานเงินทุนของเราให้เพิ่มขึ้น และสร้างการเติบโตผ่าน Synergy ร่วมกัน

ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เราตั้งเป้าในการใช้เงินผ่านการระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจ และลดต้นทุนทางการเงิน ทั้งนี้เราเชื่อมั่นว่า JMART มีแหล่งเงินทุนที่เพียงพอที่จะสามารถสร้างประสิทธิภาพในการเติบโต แม้ว่าจะเจอสถานการณ์ที่ท้าทายจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยปัจจุบันมูลค่ามาร์เก็ตแคปรวมของกลุ่มบริษัทมีกว่า 106,822 ล้านบาท คาดจะเติบโตไปกว่านี้ไม่น้อยกว่า 3 เท่า”นายอดิศักดิ์ กล่าว

อนึ่ง กลุ่ม JMART ได้ระดมทุนผ่านการเพิ่มทุนโดยการเสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน (Rights Offering: RO) และการเสนอขายให้บุคคลในวงจำกัด (Private Placement: PP) จาก JMART, SINGER และ JMT รวมประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเงินส่วนหนึ่งมาจากกลุ่ม BTS เข้าร่วมทุน 1.75 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้อัดฉีดกระตุ้นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของกลุ่ม JMART

โดย SINGER จะได้รับเงินจาก PP และ RO จำนวนทั้งสิ้น 1.06 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายฐานการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ นอกจากนี้ส่วนหนึ่งจะนำไปใช้จ่ายคืนหุ้นกู้เพื่อลดต้นทุนดอกเบี้ย โดยในปี 65 SINGER ตั้งเป้าที่จะเพิ่มพอร์ตสินเชื่อเป็น 1.5 หมื่นล้านบาท และจะขยายสาขาเป็น 7 พันแห่ง โดยกำไรสุทธิจะเติบโตไม่น้อยกว่า 50%ในปีนี้ และเติบโตเป็น 5 เท่าในปี 68

ด้าน JMT ประกาศเพิ่มทุนแบบ RO ระดมทุนกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดย JMT แถมแจกวอแรนท์สำหรับผู้จองซื้อหุ้นเพิ่มทุน เพื่อเพิ่มฐานทุนในการขยายการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเพิ่มเติม ผลักดันเป็นเบอร์ 1 บริษัทบริหารหนี้ด้อยคุณภาพในประเทศ โดยมีการตั้งเป้าพอร์ตหนี้ 1.5 หมื่นล้านบาทในปี 65 และเพิ่มเป็น 2 หมื่นล้านบาทในปี 66 คาดว่าใน 3 ปีกำไรจะเติบโต 3 เท่าจากปีนี้

ส่วน JMART ขายหุ้นเพิ่มทุน PP ได้เงินทุนกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยได้นำเงินดังกล่าวไปเพิ่มทุน JMT , SINGER รวม 6.6 พันล้านบาท

นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า การทำรายการดังกล่าว ทำให้เกิดประโยชน์ทั้ง 2 กลุ่ม โดยกลุ่ม JMART มีฐานทุนมากขึ้น งบดุลแข็งแกร่ง และช่วยลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลง ซึ่งทำให้อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทดีขึ้น ก็จะสามารถระดมเงินจากหุ้นกู้หรือเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ

ขณะเดียวกัน ทำให้เกิด Strategic upside ที่ทั้งกลุ่ม JMART และ กลุ่ม BTS มี Ecosystem ที่แข็งแรง และมีช่องทางการจำหน่ายเพิ่มขึ้น ทั้ง VGI , SINGER และร้านเจมาร์ท ที่กระจายทั่วในกทม.และเมืองใหญ่ รวมทั้งจะมี Data Base เพิ่มขึ้นทั้งจาก VGI และ SINGER รวมถึงมีโปรดักส์เพิ่มขึ้น อีกทั้งจะมีเทคโนโลยี หรือ FinTech เช่น J Fincoin และการพัฒนาบล็อกเชนที่จะนำมาใช้ร่วมกัน

ด้านนายกวิน กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BTS กล่าวว่า แผนการ Synergy ร่วมกันในช่วงต่อจากนี้ คาดว่าจะได้เห็นการขยายฐานลูกค้า การขยายผลิตภัณฑ์และบริการในเครือของ JMART ร่วมกันไปสู่สินค้าสำหรับผู้บริโภค การประกันภัย รวมไปถึงเทคโนโลยีและการให้บริการ O2O โซลูชั่นส์ ของ VGI ผ่านแพลตฟอร์มธุรกิจสื่อโฆษณา ธุรกิจบริการชำระเงิน และธุรกิจโลจิสติกส์

ในแง่ของผลิตภัณฑ์ Jaymart Mobile จะสามารถนำเสนอสินค้าเทคโนโลยีต่างๆ ผ่านแพลตฟอร์มของ VGI ที่มีความแข็งแกร่ง และเพิ่มจุดให้บริการ (Service Point) บนสถานีรถไฟฟ้า รวมถึงการใช้เครือข่ายสื่อโฆษณา และการขนส่งสินค้าผ่านบริษัทในกลุ่ม VGI ขณะที่ VGI สามารถขยายช่องทางการจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของ Fanslink ผ่านพื้นที่ค้าปลีกของกลุ่ม JMART มากยิ่งขึ้น

ในแง่ของช่องทางการจัดจำหน่าย SINGER ถือเป็นเบอร์หนึ่งในการเข้าถึงลูกค้าผ่านตัวแทนจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยในปัจจุบันมีหน้าร้านที่แบ่งออกเป็นสาขาและแฟรนไชส์กว่า 2,000 แห่ง นอกจากช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านร้านขายสินค้าเทคโนโลยีอย่าง Jaymart Mobile ยังมีบริษัทในเครือที่คอยเป็นตัวแทนของเครือข่ายในการกระจายสินค้าเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคอย่างแพร่หลาย โดยหากผสานกับ บมจ.เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (KEX) จะเป็นการเพิ่มช่องทางและโอกาสในการต่อยอดธุรกิจโลจิสติกส์ในเครือ JMART ได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้นทางด้านเทคโนโลยีทางการเงินบล็อกเชน รวมทั้งการศึกษาด้านดิจิทัลโทเคน เป็นโอกาสในการนำโทเคน J Fin มาใช้ภายในเครือข่ายของกลุ่ม BTS คาดว่าจะเริ่มในไตรมาส 1/65 จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเติมเต็มอีโคซิสเต็มของ JMART ให้สมบูรณ์ สำหรับการทำธุรกรรมต่างๆ รวมถึงการใช้งานแทนเงินสด ซึ่งจะช่วยสร้างอีโคซิสเต็มทางธุรกิจที่ครบวงจร พร้อมผลักดันให้มีการปรับเปลี่ยนเพื่อเข้าสู่การเป็นองค์กรดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งหมดนี้จะเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่จะเชื่อมต่อฐานข้อมูลที่ครอบคลุมที่สุด เพื่อนำข้อมูลไปวิเคราะห์และปรับปรุงบริการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในทุกรูปแบบ

“เรารู้สึกตื่นเต้นกับการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ ซึ่งเป็นความร่วมมือภายใต้กลุ่ม MATCH ของเรา VGI และ U City ลงทุนมูลค่ากว่า 1.75 หมื่นล้านบาทด้วยความตั้งใจร่วมเป็นพันธมิตรในระยะยาว เพื่อช่วยสร้างมูลค่าทางธุรกิจร่วมกัน เราพร้อมต่อยอดธุรกิจภายใต้เครือข่าย 3M ที่เรามีอยู่ ความสามารถด้านฟินเทคที่เข็มแข็งของ JMART ร่วมกับการรวมระบบกระจายสินค้าและสาขาที่มีอยู่ทั่วประเทศ นอกจากนี้เราได้วางแผนที่จะรวมเทคโนโลยีทางการเงินและ Crypto Digital Token เพื่อใช้ภายในเครือข่ายของกลุ่ม BTS ซึ่งจะสร้างประสบการณ์ใหม่และความสะดวกสบายให้แก่ฐานลูกค้าของเราได้ดียิ่งขึ้น”

นายกวินกล่าว

ด้านประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BTS กล่าวว่า บริษัทได้ปรับเปลี่ยน U ให้เป็น Financial arm จากเดิมเป็น Property arm ของกลุ่ม หลังจากที่ตัดสินใจขายธุรกิจโรงแรมในยุโรปออกหมดที่ได้เม็ดเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาทที่นำไปลงทุนในกลุ่ม JMART และมีแผนจะขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่อีก อาจจะ 2-3 ปีนี้ เพราะเห็นแล้วว่าหลังจากเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 มองว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโรงแรม ภายใน 3-5 ปีนี้น่าจะไม่มีอนาคตเท่าไร เพราะหากยังดำเนินธุรกิจต่อไปท่ามกลางโควิดเชื่อว่าจะเกิดผลขาดทุนตลอด

“ยูชิตึ้ ทรานฟอร์มแล้ว พยายามเอาเงินกลับมาใช้ diversify ไปเป็น Financial Service โดยได้คุยกับกลุ่ม JMART และเอาเงินที่ขายโรงแรมได้กว่า 1 หมื่นล้านบาทมาลงทุน Financial Service เข้าถือ JMARTและ SINGER”

นายกวิน กล่าว

ทั้งนี้ นายอดิศักดิ์ กล่าวว่าตนเองกับนายกวินต่างรู้จักกันมากว่า 20 ปี ได้มีการพูดคุยเรื่องธุรกิจกันเสมอ และยังไม่เคยร่วมมือกัน เพราะไม่อยากทำธุรกิจร่วมกันถ้ายังไม่ถึงเวลา เพราะความสัมพันธ์สำคัญกว่า แต่เมื่อถึงเวลานี้ได้เปิดให้กลุ่ม BTS เข้ามาลงทุนเป็นโอกาสที่ทำให้ทั้งสองกลุ่มได้มา Synergy กัน

ขณะที่นายกวิน กล่าวว่า มีความมั่นใจมากดีลกับ กลุ่ม JMART เพราะไม่ได้ต้องการลงทุนเพื่อผลกำไรเท่านั้น แต่ต้องการ Synergy ระหว่างกันกับบริษัทในกลุ่ม ทำให้การเติบโตได้ต่อเนื่อง

VGI ลงทุน JMART ต่อยอดธุรกิจ

นายเนลสัน เหลียง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ของ VGI กล่าวว่า บริษัทเข้าลงทุน 15% ใน JMART ด้วยมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 6.3 พันล้านบาท เพื่อขยายการลงทุนในธุรกิจค้าปลีกผ่านการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าสร้างกลยุทธ์ผสานแพลตฟอร์มสู่การเติบโตในอนาคต โดย JMART มี Ecosystem ที่เติบโตในธุรกิจที่หลากหลาย อาทิ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจด้านการเงิน และธุรกิจด้านเทคโนโลยี เช่น เทคโนโลยีดิจิทัลโทเคน JFincoin เป็นต้น

การลงทุนในครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญหลังจากการลงทุนใน Fanslink ผู้ให้บริการด้านอี-คอมเมิร์ซในรูปแบบ Omni-Channel และผู้นำด้านการบริหารจัดการสินค้าจากแบรนด์ชั้นนำจากประเทศจีนเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ VGI มุ่งมั่นในการขยายขอบเขตการให้บริการที่เป็นมากกว่า Offline-to-Online (O2O) โซลูชั่นส์ บนแพลตฟอร์มธุรกิจสื่อโฆษณา ธุรกิจบริการชำระเงิน ธุรกิจโลจิสติกส์ และผสานกำลังผ่านเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง เพื่อมอบบริการที่สามารถช่วยลดต้นทุนด้านการตลาดและเปิดโอกาสให้กลุ่มพันธมิตรของ VGI เข้าถึงผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น VGI และ JMART ยังสามารถสร้างสรรค์ความร่วมมือทางธุรกิจร่วมกันได้อย่างหลากหลาย เช่น การจำหน่ายสินค้าของ Fanslink ผ่านสาขาร้านค้าบนเครือข่ายของ JMART และ SINGER

VGI เริ่มต้นธุรกิจจากการเป็นผู้ให้บริการสื่อโฆษณานอกบ้าน ที่ได้พลิกธุรกิจสู่การเป็นผู้ให้บริการด้าน O2O โซลูชั่นส์ โดยปัจจุบัน VGI คือผู้นำในด้านโซลูชั่นส์ทางการตลาด ที่มีฐานะทางการเงินที่แข็งแรง เสริมด้วยความแข็งแกร่งจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างกลุ่มบริษัทบีทีเอส  ทำให้ VGI สามารถสร้างความร่วมมือที่หลากหลายร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจอย่างมีเอกลักษณ์ผ่านอีโคซิสเต็ม 3M (Move, Mix, Match) โดย BTS Group คาดการณ์ว่า ภายใต้ธุรกิจ Move จะมีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านคนต่อวัน ในปี 69 ซึ่ง 1 ใน 3 ของจำนวนผู้โดยสารทั้งหมดมาจากธุรกิจที่นอกเหนือจากระบบขนส่งมวลชนทางราง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ส.ค. 64)

Tags: , , , , , , , , , ,
Back to Top