นายรัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการ ฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บล.บัวหลวง (BLS) เปิดเผยถึงภาพรวมการลงทุนต่างประเทศในช่วงครึ่งหลังปี 64 ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีขนาดใหญ่สุดในโลก ด้วยมูลค่าตลาด 50.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตัวเลข ณ วันที่ 20 ส.ค.64) ถือเป็นตลาดที่น่าสนใจ โดยให้น้ำหนักการลงทุน 40% แม้ว่าปัจจุบันค่า P/E Ratio จะอยู่ระดับ 22 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา ที่อยู่ระดับ 19.5 เท่า
เนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจมีทิศทางเติบโตแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ เห็นได้จากตัวเลขไตรมาส 2/64 ที่เติบโต 6.5% กลับมาอยู่ในระดับก่อนเกิดโควิด-19 สอดคล้องกับ Bloomberg Consensus ที่คาดการณ์ว่าในปี 64 จีดีพีสหรัฐฯ อาจขยายตัวประมาณ 6.5%
ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการดำเนินมาตรการทางการเงินและการคลังอย่างต่อเนื่องของภาครัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการอนุมัติแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน มูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำไปก่อสร้างถนน, ท่าเรือ, ท่าอากาศยาน และการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น รวมถึงการมอบเงินเยียวยาโควิด-19 ให้กับคนอเมริกัน ล่าสุด “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาเรียกร้องให้ทางการแต่ละรัฐมอบเงินให้กับประชาชนที่เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 คนละ 100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 3,300 บาท หวังกระตุ้นให้คนออกมาฉีดวัคซีนมากขึ้น หลังโควิด-19 สายพันธุ์เดลตากำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว
“ช่วงนี้อาจเห็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ แกว่งตัวในลักษณะ Sideways โดยระหว่างทางอาจมีพักฐานได้ราว 5-10% ก่อนปรับตัวขึ้นต่อ หลังผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (Bond Yield) อายุ 10 ปี อยู่ระดับต่ำ 1.2-1.3% บวกกับกำไรบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P 500 ที่เติบโต 40% และประชากรในสหรัฐฯ ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 โดส มากกว่า 50% อย่างไรก็ดีช่วงนี้ต้องจับตาการประชุมที่ Jackson Hole ในวันที่ 26-28 ส.ค.2564 และการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 21-22 ก.ย.นี้ว่า Fed จะยังส่งสัญญาณลด QE ในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า รวมถึงทิศทางการขึ้นดอกเบี้ย หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้ดี แม้อาจมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นในบางรัฐ” นายรัฐศรัณย์ กล่าว
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แนะนำลงทุนระยะยาว ด้วยธีม DEAL ซึ่งเป็นธีมใหญ่ของโลก ประกอบด้วย
1. Digitalization เน้นลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้ข้อมูล (Data), เทคโนโลยี และการชำระเงินผ่านออนไลน์ โดยหุ้นที่อาจได้ประโยชน์ เช่น หุ้น Visa Inc. (V) บริษัทผู้ให้บริการชำระเงินระดับโลก และ หุ้น S&P Global Inc. (SPGI) ผู้ให้บริการข้อมูลทางด้านการเงิน รวมถึงการจัดอันดับเครดิต เป็นต้น
2. Environmental Protection เน้นลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อม หรือแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งเป็นนโยบายหลักของ “โจ ไบเดน” เช่น กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (EV) 3. Aging Society ปัจจุบันสังคมผู้สูงวัยเพิ่มขึ้นมาก ฉะนั้นเราจะเริ่มเห็นหลายประเทศมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น เพื่อรองรับคนกลุ่มดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในระบบสมาร์ทโฮม หรือระบบสมาร์ทซิตี้ เป็นต้น และ 4. Low interest ในยุคดอกเบี้ยต่ำ ตลาดหุ้นยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนในระยะยาว เมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น ตราสารหนี้
นายรัฐศรัณย์ กล่าวถึงมุมมองการลงทุนใน “ตลาดหุ้นฮ่องกง” ว่า ถือเป็นอีกตลาดที่ควรหาจังหวะเข้าสะสมหุ้นจีนและฮ่องกง เพื่อลงทุนระยะยาว โดยให้น้ำหนักการลงทุน 20% แม้ช่วงนี้อาจเห็นตลาดผันผวนสูงและอาจมี Downside อีกราว 5-10% หลังรัฐบาลจีนเข้ามากำกับดูแลธุรกิจของภาคเอกชนมากขึ้น ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา มาร์เก็ตแคปหุ้นเทคฯ จีนลดลง 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยผู้ลงทุนโยกเงินไปซื้อหุ้นเทคฯสหรัฐฯ ดันมาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้น 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเวลาเดียวกัน
แต่เรามองว่า ประเด็นนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนมากนัก เพราะสิ่งที่รัฐบาลจีนทำคล้ายนโยบายประชานิยม ซึ่งจะส่งผลดีต่อประชาชนส่วนใหญ่ในระยะยาว โดย Bloomberg Consensus คาดการณ์ตัวเลขจีดีพีจีนปี 2564 ว่า จะยังเติบโตได้ประมาณ 7-8%
สำหรับหุ้น และ ETF เด่น ในตลาดหุ้นฮ่องกง แนะนำลงทุน 2 ตัวหลัก คือ 1. หุ้นตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง หรือ HKEX (388) ที่อาจได้รับประโยชน์จากการที่บริษัทฯ จีน กลับมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงมากขึ้นแทนที่การจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
และ 2. Premia China STAR50 ETF (3151 HK) ซึ่งเป็น ETF ที่ลงทุนอ้างอิงดัชนี STAR 50 หุ้น A-share 50 ตัวบนกระดาน STAR ของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยหุ้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน เช่น SMIC ผู้ผลิตชิปชั้นนำของจีน หรือ Kingsoft Office ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ และระบบคลาวด์ ฉายา Microsoft แห่งเมืองจีน คาดว่าการคุมเข้มของทางการจีนจะมีผลกระทบจำกัดต่อดัชนี STAR 50 โดยดัชนีสร้างผลตอบแทนได้ราว 10% นับจากต้นปีที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ วันที่ 20 ส.ค. 2564) ขณะที่ดัชนี Hang Seng TECH มีผลตอบแทนติดลบในช่วงเวลาเดียวกัน จากแรงกดดันในการจัดระเบียบหุ้นกลุ่มนี้จากรัฐบาลจีน
“เวียดนาม ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเพิ่มผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยให้น้ำหนักการลงทุน 20% หนุนด้วยเศรษฐกิจที่โตต่อเนื่อง, ดอกเบี้ยนโยบายที่มีโอกาสปรับลดลง และการมีนโยบายคุ้มครองเงินฝากเหมือนไทย ประเด็นเหล่านี้ทำให้คนหันมาลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามมากขึ้น เราแนะนำลงทุน DR “E1VFVN3001″ ที่มีหลักทรัพย์รับฝากเป็นกองทุนรวม ETF ที่อ้างอิงดัชนี VN30 สะท้อนหุ้นชั้นนำ 30 บริษัทแรกในเวียดนาม โดยผู้ลงทุนไทยสามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้นไทยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) อย่างไรก็ดีสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แนะนำให้น้ำหนักการลงทุนประมาณ 20%”
นายรัฐศรัณย์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ส.ค. 64)
Tags: กลยุทธ์ลงทุน, ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นจีน, ตลาดหุ้นสหรัฐ, ตลาดหุ้นฮ่องกง, ตลาดหุ้นเวียดนาม, รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ, หุ้นไทย