กรุงศรีฯ ตั้งกองทุนสตาร์ทอัพ ฟินโนเวนเจอร์ มูลค่า 3 พันลบ.เน้นลงทุนไทย-อาเซียน

นายแซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด บริษัทในเครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) กล่าวว่า พัฒนาการของสตาร์ทอัพในประเทศไทยเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 58 โดย กรุงศรี ฟินโนเวต ได้คลุกคลีกับการเติบโตของสตาร์ทอัพมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม 1.0 หลายองค์กรที่ต้องการเดินหน้าองค์กรเข้าสู่นวัตกรรมจะจัดทำโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพ เพื่อให้ได้เริ่มสัมผัสการทำงานแบบสตาร์ทอัพ จากนั้นพัฒนาไปสู่ยุค 2.0 ที่เน้นการลงทุนในสตาร์ทอัพและการร่วมเป็นพันธมิตรกับสตาร์ทอัพในการพัฒนานวัตกรรมต่อยอดธุรกิจต่างๆ กรุงศรี ฟินโนเวต

สิ่งที่ได้ดำเนินงานมาในช่วงที่ผ่านมาทำให้กรุงศรีกลายเป็นธนาคารที่ทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพกว่า 63 บริษัท กว่า 106 โปรเจ็ค และส่งเสริมการทำงานด้านดิจิทัลของกรุงศรีและบริษัทในเครือถึง 37 หน่วยธุรกิจ วันนี้ กรุงศรี ฟินโนเวต กำลังเดินหน้าสู่ยุค 3.0 ที่พร้อมจะนำความเชี่ยวชาญของเราต่อยอดไปสู่การลงทุนในระดับกองทุน เพื่อที่จะสร้างโอกาสการเติบโตให้กับสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพ ในขณะเดียวกันก็สร้างผลตอบแทนและการเติบโตทางธุรกิจให้กับนักลงทุนด้วย

กรุงศรี ฟินโนเวต จึงจัดตั้งกองทุนเพื่อลงทุนในสตาร์ทอัพขึ้น ถือเป็นกองทุนสตาร์ทอัพครั้งแรกของไทย ภายใต้ชื่อ “ฟินโนเวนเจอร์ ฟันด์ I” เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อย และองค์กรที่สนใจลงทุนในสตาร์ทอัพแต่ยังไม่มีความเชี่ยวชาญในการทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพได้เข้าลงทุน โดยมีกรุงศรี ฟินโนเวต ซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการลงทุนในสตาร์ทอัพเป็นผู้ดูแล และนักลงทุนสถาบันที่ลงทุนในกองทุนนี้ ยังมีโอกาสจะได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรธุรกิจของสตาร์ทอัพที่อยู่ภายใต้กองทุนนี้ เพื่อที่จะต่อยอดการทำธุรกิจนำเสนอสินค้าและบริการที่เป็นนวัตกรรมร่วมกัน

โดยกองทุนฟินโนเวนเจอร์ ฟันด์ I เป็นกองทุนขนาด 3 พันล้านบาท มุ่งเข้าลงทุนในสตาร์ทอัพทั้งไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระดับซีรี่ส์ A ขึ้นไป เน้นลงทุนในกลุ่มฟินเทค อีคอมเมิร์ซ ออโตโมทีฟ (ยานยนต์) และกลุ่มสตาร์ทอัพที่อาจฟื้นตัวเร็วหรือได้รับโอกาสทางธุรกิจในช่วงโควิด-19 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว เป็นต้น หรือที่เรียกว่า Post-Pandemic Boom Startup

ตั้งแต่ปี 58 สตาร์ทอัพไทยแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ โดยพบการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพเติบโตกว่า 3 เท่าจากปกติ ประกอบกับในปี 64 ประเทศไทยมียูนิคอร์นรายแรกอย่าง Flash Express ที่สะท้อนภาพความสำเร็จ และแนวโน้มว่าสตาร์ทอัพหลายธุรกิจของไทย มีศักยภาพที่จะขยายกิจการจากในประเทศไปยังภูมิภาคได้ ขณะเดียวกันสตาร์ทอัพในภูมิภาคอาเซียนก็เติบโตแบบเท่าทวีคูณ และกำลังเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

อีกทั้งปัจจุบัน เป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับสตาร์ทอัพในภูมิภาคนี้ เพราะสถานการณ์โควิด-19 ถือเป็นอุปสรรคของสตาร์ทอัพยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่จะขยายธุรกิจเข้ามาในภูมิภาคนี้ จึงเป็นโอกาสให้สตาร์ทอัพไทยและอาเซียนได้เติบโตอย่างเต็มที่ การมีกองทุนสตาร์ทอัพที่จัดตั้งโดยผู้มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ และเปิดกว้างให้นักลงทุนที่สนใจเข้ามาร่วมลงทุนได้ง่ายขึ้นจะช่วยเพิ่มเม็ดเงินในการขยายธุรกิจที่มีศักยภาพอยู่แล้วให้ยิ่งขยายตัวเติบโตไปได้เป็นเท่าทวีคูณ

“จากประสบการณ์การลงทุนมานานกว่า 4 ปี ในกว่า 15 กิจการสตาร์ทอัพ รวมเงินลงทุนมากกว่า 1,500 ล้านบาทของกรุงศรี ฟินโนเวต ประกอบกับความแข็งแกร่งของกรุงศรีและมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มสถาบันทางการเงินชั้นนำระดับโลก MUFG ที่มีเครือข่ายที่แข็งแกร่งจะสามารถสร้างความสำเร็จและการเติบโตที่แข็งแกร่งให้กับกองทุน “ฟินโนเวนเจอร์ ฟันด์ I” จึงขอเชิญชวนนักลงทุนสถาบัน หรือองค์กรธุรกิจ นักลงทุนรายย่อย ประเภทกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่พิเศษ ที่สนใจลงทุน ก้าวเข้าไปในโลกของดิจิทัลและเติบโตไปด้วยกันกับเรา โดยกรุงศรี ฟินโนเวต จะเริ่มเดินสายนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุน (Roadshow) ในเดือนส.ค.นี้ เป็นต้นไป”

นายแซม กล่าว

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 ส.ค. 64)

Tags: , , , , , ,
Back to Top