สธ.กำชับรพ.เอกชน ห้ามปฏิเสธการทำคลอด-รักษาหญิงตั้งครรภ์ที่ติดโควิด

นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่สถานพยาบาลทุกแห่งต่างเกิดข้อจำกัดด้านทรัพยากร ทั้งจำนวนเตียงในการรักษา ยา และเวชภัณฑ์ ส่งผลให้สตรีมีครรภ์บางส่วน เกิดความกังวลว่าหากป่วยด้วยโรคโควิด-19 และต้องทำคลอดในขณะที่ยังไม่หายดี หรือหากตรวจพบว่ามีเชื้อโควิด-19 ในขณะที่ต้องคลอดฉุกเฉินแล้ว ด้วยข้อจำกัดในด้านทรัพยากรของสถานพยาบาล จะทำให้ถูกปฏิเสธการรักษา หรืออาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก

จากกรณีดังกล่าว กรม สบส. ระบุว่าสตรีมีครรภ์เป็นกลุ่มเปราะบางที่มีโอกาสเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 สูงกว่าบุคคลทั่วไป อีกทั้งเด็กที่เกิดมาก็มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิต หรือติดโรคจากแม่ได้ ดังนั้นสถานพยาบาลจะต้องให้การเฝ้าระวัง ดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิด โดยหากตรวจพบว่าสตรีมีครรภ์ป่วยด้วยโรคโควิด-19 สถานพยาบาลที่ผู้ป่วยฝากครรภ์ไว้ จะต้องให้การดูแลอย่างทันท่วงที และห้ามปฏิเสธการรักษา แต่หากมีข้อจำกัดของบุคลากร หรือเตียงไม่เพียงพอจนไม่สามารถให้บริการรักษาพยาบาล หรือทำคลอดฉุกเฉินได้ในขณะนั้น จะต้องมีการดูแลจัดการส่งต่อผู้ตั้งครรภ์ไปยังสถานพยาบาลอื่นๆ ตามความเหมาะสม

“สถานพยาบาล ห้ามทอดทิ้งปล่อยให้ผู้ป่วยหาที่รักษาเอง ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ให้สถานพยาบาลทำการเบิกจ่ายตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตราย ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19”

นพ.ธเรศ กล่าว

พร้อมระบุว่า ขอให้สตรีมีครรภ์วางใจได้ว่า หากต้องคลอดแล้วพบว่าป่วยด้วยโรคโควิด-19 ก็จะสามารถรับบริการได้จากสถานพยาบาลใกล้บ้านอย่างเหมาะสม โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลโรคโควิด-19 แต่อย่างใด ขณะเดียวกันหากสถานพยาบาลเอกชนใดไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด จะถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 ผู้รับอนุญาตหรือผู้ดำเนินการ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อย่างไรก็ตาม หากประชาชนประสบปัญหาการเรียกเก็บค่าใช้จ่าย หรือปฏิเสธการรักษาพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติของสถานพยาบาลเอกชน ในพื้นที่กรุงเทพฯ สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วน กรม สบส. 1426

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 ส.ค. 64)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top