แนวโน้มหุ้นไทยเช้านี้ปรับลงตามตลาดตปท.หลังเฟดส่งสัญญาณหั่น QE ปีนี้

นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสปรับตัวลงตามตลาดต่างประเทศ โดยตลาดภูมิภคเช้านี้ต่างติดลบเช่นเดียวกับตลาดสหรัฐฯ หลังรายงาน FOMC ระบุกรรมการส่วนใหญ่เห็นพ้องเริ่มปรับลด QE ปีนี้แม้ยังไม่กำหนดรายละเอียด และกังวลแนวโน้มที่ธนาคารกลางต่าง ๆ อาจปรับขึ้นดอกเบี้ย ส่งเม็ดเงินลงทุนถอยไปที่สินทรัพย์ปลอดภัยก่อน ส่วนบ้านเราโควิดระบาดหนักยังถ่วง พร้อมให้แนวรับ 1,540-1,530 แนวต้าน 1,560 จุด

นายเกษม พันธ์รัตนมาลา กรรมการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเคลื่อนไหวในแดนลบ เช่นเดียวกับตลาดสหรัฐฯปรับลง ทั้งดัชนีดาวโจนส์ และดัชนี Nasdaq ลงไปมาก หลังจากรายงานการประชุมเดือนก.ค.ของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ระบุว่ากรรมการส่วนใหญ่เห็นพ้องจะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในปีนี้ แม้จะยังไม่กำหนดรายละเอียดออกมาก็ตาม

นอกจากนี้ แนวโน้มที่ธนาคารกลางต่าง ๆ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยยังสร้างความกังวล ทำให้เม็ดเงินลงทุนถอยไปที่สินทรัพย์ปลอดภัยก่อน

ส่วนบ้านเรายังได้รับแรงถ่วงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศ จำนวนผู้ติดเชื้อยังยืนในระดับสูงแถว 2 หมื่นรายต่อวัน และผู้เสียชีวิตสูง 300 ราย จึงยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป รวมถึงความคืบหน้าการฉีดวัคซีน เพราะจะมีผลต่อการเปิดประเทศ

พร้อมให้แนวรับ 1,540-1,530 จุด ส่วนแนวต้าน 1,560 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (18 ส.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,960.69 จุด ลดลง 382.59 จุด (-1.08%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,400.27 จุด ลดลง 47.81 จุด (-1.07%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,525.91 จุด ลดลง 130.27 จุด (-0.89%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,475.30 จุด ลดลง 9.99 จุด (-0.29%), ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 27,398.58 จุด ลดลง 187.33 จุด (-0.68%) และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 25,787.84 จุด ลดลง 79.17 จุด (-0.30%)
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (18 ส.ค.) 1,551.87 จุด เพิ่มขึ้น 7.65 จุด (+0.50%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 970.65 ล้านบาท เมื่อวันที่ 18 ส.ค.64.
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (18 ส.ค.) ปิด 65.46 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 1.13 ดอลลาร์ หรือ 1.7%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (18 ส.ค.) อยู่ที่ 2.94 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 33.35 อ่อนค่าจากดอลลาร์แข็งค่า หลังเฟดส่งสัญญาณลดวงเงิน QE ปีนี้
  • ศาลปกครองสูงสุดจำหน่ายคดี “บีทีเอส” ฟ้อง รฟม.ปมสายสีส้ม ด้าน “สุรพงษ์” เผยมีอีก 3 คดี รอศาลพิจารณากรณีปรับหลักเกณฑ์ประมูล-ล้มประมูล ด้าน รฟม.ชี้ติดโควิดเลื่อนนัดประชุม ม.36 คลอดทีโออาร์ใหม่
  • มติบอร์ด กสทช.ยกเลิกประมูลสิทธิใช้วงโคจรดาวเทียม 28 ส.ค.นี้ไม่มีกำหนด หวังทบทวนหลักเกณฑ์ใหม่เน้นการแข่งขันเสรีเป็นธรรม หลังมีซื้อซองประมูลแค่ 3 ราย “มิวสเปซ-เอ็นที-ไทยคม” สุดท้ายมีเพียง “ไทยคม” ยื่นเอกสารประมูลส่งผลจากนี้กิจการดาวเทียมทั้งหมดตกอยู่ในมือ “เอ็นที” หลังเอกชนสิ้นสุดสัมปทานยาวนาน 30 ปีวันที่ 10 ก.ย.นี้ ดับฝัน “ไทยคม” หวังบริหารวงโคจรต่อเพียงรายเดียว
  • ก.ล.ต. ส่งหนังสือเวียน กำชับบอร์ดของบจ.ใช้ความระมัดระวังรอบคอบพิจารณาออก-เสนอขายวอร์แรนท์ พร้อมเปิดเผยข้อมูลอย่างครบถ้วนพบปีนี้ บจ.แห่ออกเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากทั้งปีก่อน “ไทยพาณิชย์” ชี้เป็นประโยชน์กับนักลงทุนเพื่อรู้ถึงความเสี่ยง “บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง” เชื่อไม่กระทบให้ออกเสนอขายน้อยลง แจงผู้ถือหุ้นทำใจราคาหุ้นวูบ 3 ซ็อต “วันประกาศ-ขึ้นเครื่องหมาย-ลูกหุ้นเข้า”
  • สสว.เผยดัชนีความเชื่อมั่นเอสเอ็มอีเดือน ก.ค.64 ปรับลดลงในทุกภูมิภาค อยู่ที่ระดับ 30.1 ค่าดัชนีฯ ต่ำที่สุดในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล สะท้อนพิษโควิดฉุดเสถียรภาพเอสเอ็มอีตกต่ำ มาตรการควบคุมโรคกระทบธุรกิจต้องปิดตัว
  • กรมการค้าต่างประเทศเผยการใช้สิทธิประโยชน์ทาง การค้าภายใต้ FTA และ GSP ในช่วงครึ่งปี 64 มีมูลค่า 40,244.26 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 34.34%
  • คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประเมินเศรษฐกิจไทยในช่วงข้างหน้าต้องเจอความเสี่ยงจากโควิด-19 ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นอีก โดยเฉพาะการกลายพันธุ์ที่ทำให้ประสิทธิภาพวัคซีนลดลง ความล่าช้าในการกระจายวัคซีน ทำให้ปัญหาสาธารณสุขยืดเยื้อและรุนแรงขึ้น และให้ติดตามฐานะทางการเงินของธุรกิจ เช่น ในภาคบริการที่เปราะบางมากขึ้น นำไปสู่การปิดกิจการและเลิกจ้างแรงงานจำนวนมาก

หุ้นเด่นวันนี้

  • COM7 (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า IAA Consensus 80 บาท คาดหวังภาครัฐทยอยผ่อนปรนมาตรการและอนุญาติให้เปิดสาขาในห้างหลังจากที่ผ่อนปรนให้สาขาธนาคารเปิดทำการได้ ขณะที่ปลายปีมี Sentiment บวกจาก Apple จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อาทิ iPhone 13 คาดเปิดตัวปลาย ก.ย. นี้
  • PTT (เอเชีย เวลท์) “ซื้อ”เป้า 48 บาท ราคาหุ้นน่าสนใจ โดยปัจจุบันซื้อขายเพียง 1xPBV ยังไม่สะท้อนการฟื้นตัวของผลประกอบการในปี 2564-2565 คาดกำไรสุทธิโต 133%YoY และ 11%YoY ตามลำดับ หลังปี 63 ผลประกอบการหดตัวกว่า 59%YoY ราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside มากพอสำหรับการลงทุนในระยะยาว
  • MINT (คิงส์ฟอร์ด)”ซื้อเก็งกำไร”เป้า IAA Consensus 34 บาท ให้น้ำหนักการฟื้นตัวเป็นหลัก ธุรกิจโรงแรมมี RevPAR เริ่มดีขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ เม.ย.64 ปัจจัยหนุนจากการกระจายวัคซีนในยุโรป(ปัจจุบันมีผู้ฉีดวัคซีนอายุมากกว่า 18 ปีแล้วอย่างน้อย 1 โดสราว 74.3% ของสัดส่วนประชากร โดย Portfolio โรงแรมของ MINT มีสัดส่วนห้องในยุโรปราว 63% (ซึ่งปกติมี EU Demand ราว 75-80%) ขณะที่ธุรกิจ Food ร้านอาหารในไทยกระทบหนักจากโควิด แต่ในจีนและออสเตรเลียเริ่มมีสัญญาณบวกจาก SSSG ทั้งนี้ ตลาดคาดว่าปี 64 ขาดทุนลดลงจากปี 63 ที่ EPS -4.71 บ./หุ้น มาเป็น -3.11 บ./หุ้น และปี 65 พลิกกำไร 0.10 บ./หุ้น
  • TKS (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ”เป้า 17.90 บาท แนวโน้มกำไรคาดทยอยดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก SYNEX ที่ยังแข็งแกร่งและเตรียมรุกธุรกิจตลาดสินค้า IT มือสองและเข้า High Season ระยะยาวคาดได้อานิสงส์จากการปรับโครงสร้างธุรกิจและเข้าลงทุนใน SABUY อีกทั้งยังเป็นหุ้น Value Stock ที่ชอบ โดย Valuation ยังถูกเกินไป ปัจจุบัน Discount จาก NAV ของ SYNEX ราว 43% และตลาดยังไม่ให้มูลค่าการลงทุนใน SABUY และธุรกิจโรงพิมพ์

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ส.ค. 64)

Tags: , , , ,
Back to Top