นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ได้ขอสงวนความเห็นปรับลดประมาณรายจ่าย 1 แสนล้านบาท คงเหลือ 3 ล้านล้านบาท และแม้กรรมาธิการวิสามัญงบประมาณฯ จะมีการปรับลดงบประมาณฯ ลงมา 1.6 หมื่นล้านบาทแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอ และไม่ใช่ทางออกของประเทศ
โดยนายพิธา ได้เสนอทางออกประเทศด้วยการรื้อโครงสร้างรัฐเพื่อศักยภาพการแข่งขันของประเทศใน 2 ระดับ ประกอบด้วย
1.ระดับจุลภาค ยังสามารถปรับลดงบประมาณได้อีก ซึ่งมี 3 ประเภท คือ
1.1 งบประเภทที่ไม่ตอบโจทย์กับวิกฤตของประเทศที่ประสบปัญหา เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความมั่นคง แต่ประเทศต้องการความมั่นคงทางสุขภาพ ประชาชนต้องการวัคซีนมากกว่าอาวุธยุปโธปกรณ์ ที่อยู่ในงบกลาโหม ซึ่งสามารถตัดงบประมาณได้ถึง 3 หมื่นล้านบาท แต่กรรมธิการวิสามัญงบประมาณฯ ปรับลดได้เพียง 3 พันล้านบาท หรือ เรื่องงบที่เกี่ยวกับความมั่นคง ทั้งเรื่องปืนตำรวจ ปืนมหาดไทย และ Big Data ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ตำรวจ กลาโหม
1.2 งบที่เน้นลงทุนในสิ่งก่อสร้างมากกว่าชีวิตคน เช่น งบฯ ก่อสร้างอาคารสำนักงานจังหวัด บ้านพักข้าราชการ และขยายอาคารสำนักงานจังหวัด ซึ่งมีถึง 1.7 แสนล้านบาท แต่ปรับลดได้เพียงพันกว่าล้านบาท
1.3 งบประมาณที่มีพิรุธ ราคาสูงกว่าท้องตลาด หรือใบราคาไม่สมบูรณ์
2.ระดับมหภาค ในเรื่องการปรับโครงสร้างจัดระบบรัฐไทยใหม่ โดยแบ่ง 2 ประเภท คือ
2.1 งบประมาณที่มีความซ้ำซ้อน กระจัดกระจาย ไม่ชัดเจน เช่น กระทรวงกลาโหม ที่มีทั้งสำนักปลัดกลาโหมที่มีกรมพระธรรมนูญ และกรมการเงินกลาโหม ขณะที่กองบัญชาการกองทัพไทย มีสำนักงานพระธรรมนูญทหาร และกรมการเงินทหาร ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกัน แต่มีการแยกบุคลากรของแต่ละหน่วยงาน หรือกระทรวงคมนาคม ซึ่งมีทั้งกรมท่าอากาศยาน และบริษัทท่าอากาศยานไทย หรือ กรมทางหลวงและการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ซึ่งมีภารกิจคล้ายคลึงกัน ดังนั้นหากมีโอกาสได้เป็นรัฐบาล จะไปจัดระบบนี้ใหม่ไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกัน
2.2 ต้องมีปรับงบประมาณเพื่อตอบโจทย์วิสัยทัศน์ใหม่หลังยุคโควิด ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการค้า การลงทุน การพาณิชย์ และเรื่องราคาสินค้าเกษตร ที่มี 3 กระทรวงรับผิดชอบสินค้าเกษตรในแต่ชนิด คือ กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบเรื่องราคาข้าว ปาล์มน้ำมัน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับผิดชอบเรื่องราคายาง และกระทรวงอุตสาหกรรม รับผิดชอบเรื่องราคาอ้อย แต่เห็นว่าควรจะบูรณาการให้อยู่ที่เดียวกัน เพื่อให้การทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดภาระการรีดภาษีจากประชาชน
ด้านน.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น แม้จะเก็บรายได้มากเท่าไหร่แต่มีการกู้เต็มเพดานแล้ว ก็ไม่มีงบประมาณใช้จ่ายได้เต็มวงเงิน จำเป็นต้องใช้เงินคงคลังส่วนหนึ่งมาใช้ในส่วนที่ยังขาดอยู่
ซึ่งในงบประมาณปี 65 ได้ออกแบบให้กู้เต็มเพดานแล้ว และรายได้ที่คาดว่าจะจัดเก็บได้ 2.4 ล้านล้านบาท จะยังสามารถทำได้หรือไม่ ซึ่งปัญหานี้ส่งผลไปยังงบประมาณในปี 66 และ 67 ด้วย ที่อาจจะจัดเก็บรายได้ได้น้อยลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ทุกๆปี ทำให้งบประมาณรายจ่ายแต่ละปีขยายตัวได้ไม่เต็มที่
น.ส.ศิริกัญญา มองว่า งบประมาณปี 65 เป็นช่วงสำคัญที่ต้องมีการปรับโครงสร้างงบประมาณให้สอดคล้องกับวิกฤตในขณะนี้ ด้วยการปรับปรุงค่าใช้จ่ายบุคลากรให้ลงมาอีก และชะลอการเพิ่มหน่วยงานใหม่ และสำนักงานส่วนภูมิภาคที่ต้องปรับลดลง รวมถึงสำนักงานในต่างประเทศและผู้ช่วยทูตต่างๆ
ส่วนเรื่องการกระจายอำนาจ หน่วยงานส่วนกลางหวงงบประมาณของตัวเองไม่ยอมกระจายภารกิจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ทำหน้าที่ตัวเอง รวมถึง รัฐวิสาหกิจบางแห่งไม่ได้ให้บริการสาธารณะที่จำเป็นก็ควรเปลี่ยนแปลงรูปแบบองค์กรได้แล้ว
นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ได้ขอสงวนความเห็นปรับลดประมาณลง 5% โดยระบุว่า ในแต่ละกระทรวงมีงบประมาณที่สะสมไว้อยู่ในหน่วยงานต่าง ๆ และยังไม่มีการนำมาใช้ ซึ่งจากการคาดการณ์จะมีเงินนอกงบประมาณปี 65 อยู่ที่ 4.375 ล้านล้านบาท แต่จะนำสมทบงบประมาณแค่ 1.122 แสนล้านบาทเท่านั้น และพบว่าในกระทรวงกลาโหม มีเงินนอกงบประมาณที่อยู่ในกิจการสถานีวิทยุและโทรทัศน์ ททบ.5 ไม่สามารถตรวจสอบรายได้ หรือการใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุในกิจการพาณิชย์ต่าง ๆ ไม่มีรายละเอียดของรายได้
นายพิจารณ์ เปิดเผยว่า ศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งกองทัพไทยได้มีการขุดน้ำมันในพื้นที่นี้มาตั้งแต่ปี 2499 ซึ่งตนได้มีการสอบถามถึงรายได้ และขอเอกสารชี้แจงจากสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม แต่ก็ไม่ได้รับรายละเอียดแต่อย่างใด
“เรามีเงินนอกงบประมาณที่ควรนำมาบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า เพื่อประโยชน์ต่อประเทศ และลดการรีดภาษีจากประชาชน”นายวิจารณ์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ส.ค. 64)
Tags: งบประมาณปี 65, งบประมาณรายจ่าย, พรรคก้าวไกล, พิธา ลิ้มเจริญรัตน์