นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวถึงกรณีที่มีข้อเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาการใช้เครื่องมืออัดฉีดสภาพคล่องหรือ QE ซึ่งมีผลในการพยุงเศรษฐกิจระยะสั้นนั้น ขอยืนยันว่าภายใต้สถานการณ์ที่การระบาดรุนแรงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีกระสุนเหลือน้อย ธปท. จึงได้ศึกษาเครื่องมือการเงินอื่น ๆ ไว้ โดยเห็นว่าการทำ QE อาจไม่ตอบโจทย์ของไทย เพราะ 1.โจทย์ปัจจุบันไม่ใช่สภาพคล่องโดยรวมไม่เพียงพอ 2.ไทยเป็น bank-based economy ภาคเอกชนระดมทุนผ่านตลาดสารหนี้เพียง 10% การทำ QE จะได้ประโยชน์ในวงจำกัด 3.ต้นทุนการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ขณะนี้อยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว
ดังนั้น มาตรการที่ตอบโจทย์ตอนนี้ คือ มาตรการการเงินและสินเชื่อ ซึ่งต้องเร่งปรับปรุงมาตรการให้มีประสิทธิผลขึ้น โดยเร่งกระจายสภาพคล่องไปสู่ผู้ได้รับผลกระทบให้ตรงจุด และลดภาระหนี้ อาทิ มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู มาตรการพักทรัพย์พักหนี้ และมาตรการอื่น ๆ ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ควบคู่กับการผลักดันให้สถาบันการเงินเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้เห็นผลในวงกว้าง และสอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ในระยะยาว ทั้งนี้ กรรมการ กนง.ส่วนใหญ่เห็นว่ามาตรการด้านการเงินจะมีประสิทธิผลมากกว่าการลดอัตราดอกเบี้ยที่ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ
สำหรับการปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 ที่ กนง.คาดว่าจะขยายตัวได้ 0.7% และในปี 2565 ที่ 3.7% ได้รวมปัจจัยต่าง ๆ ล่าสุดจนถึงวันที่ 3 ส.ค.64 แล้ว ทั้งมาตรการควบคุมการระบาดล่าสุดที่ยกระดับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) เป็น 29 จังหวัด รวมถึงความคืบหน้าของมาตรการเยียวยาต่าง ๆ
อย่างไรก็ดี แม้จะมีปัจจัยกดดันเศรษฐกิจไทยอยู่ค่อนข้างมาก แต่ระยะข้างหน้ายังมีเครื่องยนต์อื่นที่ยังพอพยุงเศรษฐกิจไว้ได้บ้าง อาทิ การส่งออกสินค้าที่ขยายตัวดีตามอุปสงค์จากต่างประเทศที่สถานการณ์เบากว่าไทย ภาคการคลังที่ออกเม็ดเงินเยียวยาต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และลดทอนผลกระทบจากการคุมระบาด ซึ่งก็มีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ รวมถึงการคุมการระบาดและเร่งผ่อนคลายมาตรการลดการเคลื่อนที่ ซึ่งถ้าหากสามารถผ่อนคลายได้ไม่ช้าไปกว่าต้นไตรมาส 4/2564 ก็จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยไม่หดตัวในปีนี้
“มีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยจะชะลอลงมากกว่ากรณีฐานมาก แต่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่มากว่าจะพัฒนาไปด้านใด อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวที่ 0.7% ก็ถือว่าค่อนข้างต่ำมากแล้วจากที่ปีก่อนหดตัวไปถึง -6.1% และเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคที่ยังขยายตัวได้ค่อนข้างดี ก็คงต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วนในการช่วยกันขับเคลื่อน และประคับประคองเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้ และคงต้องทำอย่างเต็มที่ตั้งแต่วันนี้ โดยยังไม่ต้องรอให้เศรษฐกิจไทยแย่ลงไปถึงขนาดติดลบในปีนี้” นายทิตนันทิ์ กล่าว
สำหรับแนวโน้มเงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าในทิศทางเดียวกับเงินสกุลภูมิภาค จากความกังวลต่อการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลตาที่รุนแรงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่หลายประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนอยู่ในระดับต่ำ โดยเงินบาทอ่อนค่ามากกว่าเงินสกุลภูมิภาคจากสถานการณ์โควิด-19 ที่รุนแรงและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ล่าช้า
ทั้งนี้ ธปท. จะติดตามพัฒนาการของตลาดการเงินโลกและไทยอย่างใกล้ชิด โดยดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ ไม่เป็นอุปสรรคต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ส.ค. 64)
Tags: ดอกเบี้ยนโยบาย, ทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส, ธปท., นโยบายการเงิน, อัดฉีดสภาพคล่อง