นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหาร (FTI Poll) เดือน ก.ค.64 จากผู้บริหารจำนวน 166 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 75 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด ในหัวข้อ “การจัดการปัญหาแรงงานในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19” โดยผู้บริหารส่วนใหญ่มองว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ส่งผลกระทบต่อแรงงานในภาคอุตสาหกรรม
รวมทั้งปัญหาขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานเข้มข้น จนส่งผลให้กำลังการผลิตลดลงและกระทบต่อการส่งออกของไทย ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์หลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในขณะนี้ โดยเสนอให้ภาครัฐเร่งฉีดวัคซีนให้แก่แรงงานตามมาตรา 33 เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสถานประกอบการ รวมทั้งรักษาศักยภาพในการผลิตและการส่งออกของประเทศ
โดยอัตราการจ้างงานในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาด ส่วนใหญ่ 53.6% ยังสามารถคงอัตราการจ้างงานเท่าเดิม รองลงมา 31.3% มีการจ้างงานลดลง 10-20% อีก 10.3% มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 10-20% และ 4.8% มีการจ้างงานลดลงมากกว่า 50%
ส่วนผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนแรงงานที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ทำให้มีโรงงานอุตสาหกรรม 45.2% ต้องลดกำลังการผลิตลงน้อยกว่า 30% ขณะที่มีโรงงาน 26.5% ที่ไม่ได้รับผลกระทบ โรงงานอีก 20.5% ที่กำลังการผลิตลดลง 30-50% และโรงงาน 7.8% ที่กำลังการผลิตลดลงมากกว่า 50% ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม 3 อันดับแรก ได้แก่ แรงงานบางส่วนต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาโรคหรือกักตัว รวมทั้งการปิดโรงงานชั่วคราวตามข้อกำหนด 51.8% รองลงมาคือสถานประกอบการไม่สามารถหาแรงงานสัญชาติไทยได้เพียงพอต่อความต้องการ 49.4% และมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าออกพื้นที่ของแรงงานข้ามจังหวัด 41.6%
สำหรับมาตรการที่ภาครัฐควรนำมาดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม 3 อันดับแรก ได้แก่ การสนับสนุนเงินอุดหนุนในการจ้างแรงงานไทย และขยายโครงการจ้างงานเด็กจบใหม่ 50.0% รองลงมาคือการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรในภาคอุตสาหกรรมทดแทนการใช้แรงงาน 48.8% และการอนุญาตให้นำเข้าแรงงานต่างด้าวภายใต้ MOU เฉพาะแรงงานที่ได้รับการฉีดวัคซีน 2 เข็มแล้ว มีการทำประกันสุขภาพ และต้องผ่านการกักตัว 14 วัน เข้ามาทำงาน 45.8%
กรณีที่ภาครัฐจะเปิดให้มีการนำเข้าแรงงานต่างด้าวตาม MOU ควรมีการเตรียมความพร้อม 3 อันดับแรก ได้แก่ การเตรียมความพร้อมระบบคัดกรอง ติดตาม และประเมินสถานประกอบการที่ใช้แรงงานต่างด้าว 69.9% รองลงมาคือ การจัดตั้งศูนย์ One Stop Service สำหรับนายจ้างที่ต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว 66.9% และการปรับลดขั้นตอน เอกสารที่ไม่จำเป็น และปรับมาดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ 65.1%
มาตรการช่วยเหลือและเยียวยาแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการปิดสถานประกอบการอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดโควิด-19 พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การเร่งจัดหาวัคซีนและเร่งฉีดให้กับแรงงานตามมาตรา 33 คิดเป็น 92.8% รองลงมาคือ การสนับสนุนด้านการรักษาพยาบาลแรงงานที่ติดเชื้อ และสนับสนุนยา อาหาร และเวชภัณฑ์ให้แก่แรงงานที่ติดเชื้อในการรักษาตัวที่บ้าน (Home isolation) 69.9% และการลดเงินสมทบประกันสังคมเหลือร้อยละ 1 ถึงสิ้นปี 2564 คิดเป็น 66.9%
นอกจากนี้ ผู้บริหารยังมองว่ามาตรการที่ภาคเอกชนมีความพร้อมและสามารถที่จะดำเนินการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสถานประกอบการได้ 3 อันดับแรก ได้แก่ การมีระบบคัดกรองแรงงานก่อนเข้าโรงงาน และการเฝ้าระวังผู้ปฏิบัติงานที่เป็นกลุ่มเสี่ยงตามมาตรการ Bubble & Seal 83.1% รองลงมาคือ การจัดหาวัคซีนทางเลือกให้แก่แรงงานในสถานประกอบการ 68.1% และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด (D-M-H-T-T-A) 65.7%
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ส.ค. 64)
Tags: lifestyle, ผลสำรวจ, วิรัตน์ เอื้อนฤมิต, ส.อ.ท., สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, แรงงาน